วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สารเคมีในเครื่องสำอาง

               
สารเคมีที่มักพบในเครื่องสำอาง

สารเคมีทั่วไป
Lanolin : ลาโนลิน สารสกัดที่ได้จากธรรมชาติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวป้องกันการแห้งตึง แต่การวิจัยบางชิ้นพบว่าอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและเป็นสาเหตุหนึ่งของการอุดตันและการก่อตัวของสิว
Mineral Oil : มิเนอรัลออยล์ เป็นผลผลิตที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมใช้เป็นสารทำความหล่อลื่นในเครื่องสำอาง พบได้ในโลชั่น มอยเจอร์ไรเซอร์ ครีมล้างหน้า อายครีม ฯลฯ ซึ่งมีโมเลกุลค่อนข้างใหญ่ จึงไม่สามารถซึมลงไปใต้ผิวหนังอย่างที่เคยคิดกันแม้จะไม่ก่อให้เกิดโทษร้ายแรงแต่ก็ไม่มีประโยชน์ต่อผิว
Glycerin : กลีเซอรีน เป็นสารที่เกิดจากการเติมด่างลงไปในไขมันใช้มากในการทำสบู่และเครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว รวมถึงน้ำยาบ้วนปากและยาสีฟันโดยได้รับการรับรองว่าปลอดภัยไม่ทำให้ระคายเคือง
Propylene Glycol : โพรไพลีน ไกลคอล นิยมใช้กันมากในเครื่องสำอางดูแลผิวที่ต้องการคุณสมบัติกักเก็บความชุ่มชื้น และซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ดีปลอดภัยต่อผิว
Dimethicone :
ไดเมธิโคน คือน้ำมันซิลิโคนชนิดหนึ่งใช้เป็นเบสของผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นครีมต่าง ๆ ไม่เป็นอันตรายต่อผิว
Polysorbate :
โพลีซอร์เบต มักพบในเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย เพราะเป็นสื่อผสมให้น้ำสามารถเข้ากับน้ำมันหอมระเหยได้ค่อนข้างปลอดภัยต่อคน
Cocamidopropyl Betaine :
โคคามิโดโพรพิล บีเทน เป็นสารที่ได้จากน้ำมันมะพร้าวมักใช้ผสมในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่าง ๆ เช่น สบู่ แชมพู คอนดิชั่นเนอร์ หรือโฟมล้างหน้า ช่วยในการลดแรงตึงผิวของน้ำและทำให้เกิดฟอง แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้
Butylene Glycol :
บิวไทลีน ไกลคอล เป็นสารที่ทำหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื้นรักษากลิ่นและความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ให้คงรูป มักเป็นส่วนผสมของโลชั่นต่าง ๆ ไม่เป็นอันตรายต่อผิว
Phenoxyethanol : ฟีน็อกซ์ซีธานอล พบได้ในเครื่องสำอางที่มีน้ำหอมผสมอยู่เพราะมีคุณสมบัติทำให้น้ำหอมคงตัว ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้แต่ต้องไม่ใช้ในปริมาณที่เข้มข้นไม่เช่นนั้นอาจเกิดอาการแพ้ได้
Sodium Chloride : โซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือทะเลไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด แต่หากใช้ในปริมาณที่เข้มข้นเกินไปก็ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้พบในน้ำยาบ้วนปาก สบู่ อายครีม เกลืออาบน้ำ เป็นต้น
Stearic Acid : กรดสเตียริก เป็นสารที่เกิดไขมันและน้ำมันจากสัตว์จึงค่อนข้างปลอดภัย มักใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย โลชั่น ครีมรองพื้น และสบู่ มีคุณสมบัติช่วยสร้างความนุ่มนวล ลื่น เป็นประกายแวววาว

 สารเคมีที่ควรระวัง

Hydroquinone :
ไฮโดรควิโนน สารนี้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางทาฝ้าหาใช้ในระยะยาวจะก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวอย่างมาก เช่น แพ้ ระคายเคือง และทำให้ผิวหน้าดำคล้ำกลายเป็นผ้าถาวร
Sodium Laureth Sulfate : โซเดียมลอริธซัลเฟต พบได้ในโฟมล้างหน้า ยาสีฟัน และในแชมพูมากที่สุด(ประมาณ 90 % ของแชมพูท้องตลาด) อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน ดังนั้นหากมีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง
Formaldehyde :
ฟอร์มาลดีไฮด์ ช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราต่าง ๆ พบมากในยาทาเล็บ สบู่ และแชมพู หากสูดดมมาก ๆ อาจเป็นอันตรายต่อระบบหายใจได้
S. D. Alcohol : เอส. ดี. แอลกอฮอล์ ใช้ในเครื่องสำอางประเภทรักษาความมันและสิวอุดตัน โดยจะเป็นตัวนำน้ำมันและสิ่งสกปรกออกไปรวมทั้งน้ำหล่อเลี้ยงบนชั้นผิวด้วย จึงทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและแห้งตึงได้
Sodium Hydroxide :
โซเดียมไฮดรอกไซด์ ใช้เป็นส่วนประกอบหลักใน สบู่ แชมพู น้ำยายืดผม ซึ่งเป็นสารที่มีความเป็นด่างสูง จึงอาจทำให้ผิวหรือหนังศีรษะแห้งลอกหรือเกิดการอักเสบได้
Talc/Talcum : แป้งทัลส์หรือทัลคัมที่พบได้ทั่วไปในผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่น แป้งอัดแข็ง บลัชออน อายแชโดว์ หรือสเปรย์ระงับกลิ่นกาย ให้ความรู้สึกลื่น นุ่มนวล แต่ไม่ควรใช้กับส่วนเล้นลับเพราะมีการวิจัยพบว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูกได้มากกว่าปรกติถึง 3 เท่า
Steroid :
สเตียรอยด์ สารอันตรายที่ก่อให้เกิดความผิดปรกติของผิวหนังได้ เนื่องจากสเตียรอยด์เป็นสารอันตรายผู้ผลิตจึงมักไม่ระบุชื่อลงไปในฉลาก ดังนั้นจึงควรเลือกเครื่องสำอางที่น่าเชื่อถือมีเลขทะเบียนอนุญาตจำหน่ายหรือตราที่รับรองว่าผ่านการตรวจสอบแล้ว


เคล็ดลับการเลือกและการเก็บรักษา

            ส่วนผสมปลอดภัย  บรรจุภัณฑ์ดูดี  แหล่งที่มาน่าเชื่อถือ  รายละเอียดสินค้าชัดเจน  มีอย. รับรอง
ทดสอบว่าไม่แพ้
            สำหรับการเก็บรักษาเครื่องสำอางให้สามารถใช้งานได้นานที่สุดและไม่เสื่อมสภาพไปก่อนอายุไขอันควรคือ ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต สิ่งสำคัญอยู่ที่การรักษาความสะอาดและอุณหภูมิอันเหมาะสมไม่ควรเก็บในห้องที่อากาศร้อนอบอ้าว ควรเก็บไว้ในที่ที่แดดส่องไม่ถึงบางคนชอบนำไปเก็บในตู้เย็น (ชั้นที่ไม่เย็นจัดนัก) ซึ่งก็ช่วยรักษาสภาพของเครื่องสำอางไว้ได้นาน
ไม่ควรนำมือเข้าไปควักหรือป้ายเครื่องสำอางออกมาจากขวดควรเทหรือใช้ช้อนสำหรับตักเล็ก ๆ ตักเครื่องสำอางออกมา หลังใช้ทุกครั้งควรปิดฝาให้สนิทเพื่อป้องกันการระเหยของส่วนผสมที่เป็นน้ำในเครื่องสำอาง และการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำให้เครื่องสำอางบูดเสียได้ หากเครื่องสำอางมีกลิ่นหรือสีเปลี่ยนไปส่วนผสมแยกตัวออกจากกันเกิดฟองขึ้นหรือจับตัวเป็นก้อนแข็ง ฯลฯ แสดงว่าเสียใช้ไม่ได้แล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มลพิษ

สารเคมีในอาหาร

สารเคมีอันตรายที่ปนเปื้อนในอาหาร
บอแรกซ์ (Borax)   บอแรกซ์     เป็นสารเคมีที่เป็นเกลือของสารประกอบโบรอน ที่มีชื่อเรียกทางเคมีว่า โซเดียม บอเรต ( sodium borate )   โซเดียมเตตรา บอเรต ( sodium tetraborate ) โซเดียม ไบบอเรต ( sodium biborate ) ฯลฯ หรือในทางการค้า อาจเรียกชื่อว่า น้ำประสานทอง ผงกรอบ ผงเนื้อนิ่ม สารข้าวตอก ผงกันบูด และเม่งแซ หรือเพ่งแซ มีสูตรโครงสร้างทั่วไปทางเคมีคือ   Na 2B 4O 7   10H 2O
 คุณสมบัติของบอแรกซ์
         เป็นผลึกรูปโมโนคลินิก ( monoclinic ) ไม่มีกลิ่น สิขาวบริสุทธิ์ ความถ่วงจำเพาะ (specific gravity ) = 1.73 จุดหลอมเหลว 71 องศาเซลเซียส จุดเดือด 320 องศาเซลเซียส   ไม่ติดไฟ มีกลิ่นฉุนเมื่อละลายในน้ำร้อน   ไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยาเคมี   ละลายในน้ำเย็นได้สารละลายใส ความสามารถในการละลายน้ำ 5.1 กรัม/ 100มิลลิลิตร ที่   20 องศาเซลเซียส   สารละลายมี PH เป็นด่าง ประมาณ 9.5 ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการซักล้างและทำความสะอาด นอกจากนั้นยังช่วยยับยั้งขบวนการเมตาโบลิซึมของสารอินทรีย์หลายชนิด จึงนิยมใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำยาทำความสะอาด น้ำยาฆ่าเชื้อโรค น้ำยาฟอกขาว คลอรีน น้ำยาซักรีด ยาฆ่าแมลงพวกมด แมลงสาบ ยาฆ่าเชื้อราและยาปราบวัชพืช   นอกจากนั้นยังนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์   เช่น ยาล้างตา น้ำยาบ้วนปาก และอื่นๆ เนื่องจากมีสรพคุณฆ่าเชื้อโรคแลแบคทีเรียอย่างอ่อน ปัจจุบันจึงมีการแอบนำเอาบอ แรกซ์มาใช้เป็นสารกันเสียในกรรมวิธีและส่วนผสมของน้ำยาเตมีในงานหลายชนิด กาว สำหรับงานวาดและงานปั้น โคลนแต่งสีแต่งกลิ่นในงานศิลปะเด็ก การเก็บรักษาดอกไม้สด และผลิตดอกไม้แห้ง   รมทั้งการปรับสภาพ pH หลังการ ดองสต้าฟสัตว์ให้คงสภาพเหมือนมีชีวิต
            บอ แรกซ์มีความเป็นพิษต่อเซลล์ สามารถรวมตัวกับคาร์โบไฮเดรต ไกลโคโปรตีน หรือไกล โคไลปิด ซึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวเซลล์ทุกชนิด หากมีอาการแพ้จะทำให้ผิวหนังแห้ง มีผื่นตามตัว ผิวหนังเป็นจ้ำ คล้ายห้อเลือด หมดสติและตายได้  
กลไกการทำงานและผลของบอแรกซ
            จะทำให้ระดับฟอสฟอรัสในสมองและตับลดต่ำลง มีผลต่อการยับยั้ง oxidoreductase enzyme   และ serine protease enzyme             เพิ่มความเข้มข้นของ RNA ในตับและสมอง   มีผลต่อระบบประสาท่าวนกกลาง ตับ ไต และเยื่อบุอวัยวะย่อยอาหาร ทำให้ความดันลดลง การทำงานของกล้ามเนื้อไม่ประสานกัน สมองตื้อ มีอาการบวมช้ำ ฮีโมโกลบินลดต่ำลง ไตเสื่อม และสมรรถทางเพศลดต่ำลง ผิวหนังแดง ไตพิการ และเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เสียชีวิตในผู้ใหญ่จากการได้รับสารบอ แรกซ์ 5- 20 กรัม และเด็กทารกหากได้รับสารบอ แรกซ์น้อยกว่า 5 กรัม   ก็ช็อค หรือตายได้
การนำบอแรกซ์มาใช้ในอาหาร
เนื่องจากสารบอ แรกซ์ ทำให้อาหารมีลักษณะ หยุ่นกรอบ และมีคุณสมบัติเป็นวัตถุกันเสียอยู่ด้วย จึงมีการนำมาใช้ผลิตอาหารประเภทลูกชิ้น หมูยอ ทอดมัน   ไส้กรอก แป้งกรุบ ลอดช่อง ผงวุ้น ทับทิมกรอบ มะม่วงดอง ผักผลไม้ดอง และยังพบว่ามีการนำเอาบอ แรกซ์ไปละลายในน้ำแล้วทาที่เนื้อหมู เนื้อวัว เพื่อให้ดูสด ไม่บูดเน่าก่อนเวลา นอกจากนี้ยังพบว่ามีการปลอมปนในผงชูรส เนื่องจากมีลักษณะเป็นผลึกเล็กๆเละเป็น ผงซึ่มมีสีขาวคล้ายเศษของผงชูรส  
ขนาดของบอแรกซ์ที่เป็นอันตราย
  • ขนาดที่ทำให้เกิดพิษ 5 – 10 กรัม ในผู้ใหญ่
  • ขนาดที่ทำให้ตายได้ 15 – 30 กรัม ในผู้ใหญ่
  • ขนาดที่ทำให้เกิดพิษและตาย 4.5 – 1.4 กรัมในเด็ก ซึ่งการตายจะเกิดขึ้นภายใน 2 – 3 วัน
การขจัดพิษ
  • จากกระเพาะอาหาร โดยการทำให้คนไข้อาเจียน ถ้าไม่อยู่ในภาวะโคม่า เคยมีอาการชักหรือมีความผิดแกติของการขย้อน ถ้าคนไข้โคม่าต้องทำการล้วงท้อง การใช้  Activated charcoal ในการกำจัดพิษ ไม่เกิดประโยชน์ และไม่ได้ช่วยดูดซับสารบอ แรกซ์เท่าที่ควร อาจใช้ยาระบายช่วยกำจักกรด บอร์ริค ที่ค้างอยู่ในทางเดินอาหาร เช่น ใช้ แมกนีเซียม ซัลเฟต 30 กรัม ในผู้ใหญ่ และ 250 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมในเด็ก.
  • จากผิวหนัง โดยการล้างบริเวณผิวหนังที่ถูกสารหลายๆครั้ง ด้วยน้ำสะอาด และสบู่อ่อนๆ
  • จากดวงตา ใช้น้ำยาล้างตาอย่างน้อย 20 นาที หากยังระคายเคือง และเจ็บปวดให้รีบพบแพทย์
ฟอร์มาลิน
            สารละลาย Formaldehyde หรือ Formalin หรือที่รู้จักกันดีในนาม น้ำยาดองศพ ประกอบด้วยก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ประมาณร้อยละ 37 – 40 โดยน้ำหนักในน้ำ และมีเมธานอลปนอยู่ด้วยปริมาณร้อยละ 10 – 15 ลักษณะทั่วไปเป็นของเหลวใส ไม่มีสี แต่กลิ่นฉุนเฉพาะตัวสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และทางการแพทย์ดังนี้
  • ด้านอุตสาหกรรม   :   ใช้ผลิตภัณฑ์   พลาสติก   สีย้อม   สิ่งทอ   และรักษาผ้าไม่ให้ยับหรือ ย่น
  • ด้านการแพทย์   :   ใช้ในการเก็บรักษา   Anatomical   specimens   ดองศพ   เนื่องจากช่วยให้เซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ   คงความสดอยู่นาน   ใช้ทำความสะอาดห้องผู้ป่วย   เครื่องมือแพทย์
  • ด้านเกษตรกรรม   :   ใช้ป้องกันและกำจัดโรคพืชที่เกิดจากจุลินท รีย์   ป้องกันผลผลิตทางการเกษตรระหว่างขนส่งและเก็บรักษา   เช่น   ที่ความเข้มข้น   0.004%   จะช่วยป้องกันเชื้อราในข้าว โอ๊ต, ข้าวสำลี   และใช้ป้องกันแมลงในธัญพืชหลักการเก็บเกี่ยว
ผลกระทบต่อสุขภาพ
            ฟอร์มาลินเป็นสารก่อมะเร็ง   หากได้รับจากการบริโภคอาหารที่สารดังกล่าวตกค้างอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร   ปวดท้องรุนแรง   อาเจียน   ท้องเสีย   หมดสติและเสียชีวิต   นอกจากนั้นยังทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง   ตาและจมูก     
สีผสมอาหาร
            อันตรายที่แผงมากับความงามสะดุดตานี้   อาจจะทำให้ท่านมีสุขภาพลดลง   โดยปกติอาหารที่ใส่สีไม่ได้หมายความว่าจะมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้น   เพราะจุดประสงค์เพียงต้องการให้สะดุดตาผู้ซื้อเท่านั้น   และสีที่ใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นสีที่สังเคราะห์ซึ่งมีคุณสมบัตินานกว่าสีชนิดที่สกัดมาจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ   จุดอันตรายจะอยู่ที่การนำสีชนิดที่ไม่ใช่สีผสมอาหารมาใช้   และโดยมากมักจะเป็นพวกสีย้อมผ้า   ผู้บริโภคจึงมีโอกาสที่จะได้รับโลหะหนัก   เช่น   สารแค ดเมี่ยม   ปรอท   และสารตะกั่ว   ที่เจือปนมากับสีชนิดนี้ด้วย
ขนมใส่สี
            อาจเกิดจากสีย้อมผ้า   หรือสีย้อมกระดาษ   การเลือกซื้อควรเลือกซื้อขนมที่มีสีอ่อนๆไม่ฉูดฉาดหรือมีสีเข้มเกินไป   เช่น   สีแดงจากแค รอทหรือถั่วแดง   สีน้ำเงินจากอัญชัน   สีดำจากถั่วดำหรือจากมะพร้าวเผาไฟ   ขนมที่บรรจุอยู่ในภาชนะที่ใส่สารป้องกันความชื้น   จะต้องมีเครื่องหมาย   อย.   รับรองคุณภาพ
สีย้อมผ้า
            อาหารที่เสี่ยง   ได้แก่   ปลาแห้ง   กุ้งแห้งย้อมสี   ลูกชิ้นใส่สี   กะปิใส่สี   แหนม   เนื้อเค็มใส่สี   ไก่สดย้อมสี   ขนมเค้กใส่สี   ลูกชุบ   ข้าวเกรียบใส่สี   น้ำหวานใส่สี   ผลไม้ดองหรือแช่อิ่ม
            อันตรายต่อผู้บริโภค   สีย้อมผ้าจะมีโลหะในปริมาณสูง   เช่น   สารตะกั่ว   สารหนู   โดยสารตะกั่วจะมีพิษต่อระบบประสาท   อาจทำให้เป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้   ส่วนสารหนู   จะสะสมอยู่ในกล้ามเนื้อกระดูก   และผิวหนัง   ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง   เกิดโลหิตจาง   นอกจากนี้สารบางชนิดยังมีผลต่อการตกค้างของเม็ดเลือดแดง   การได้รับสีย้อมผ้าในปริมาณน้อย   แต่เป็นระยะเวลานาน   อาจมีผลทำให้เกิดเนื้องอกหรือมะเร็งที่อวัยวะในระบบทางเดินอาหารและกระเพาะปัสสาวะได้
การป้องกันเพื่อความปลอดภัย
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่สี   หรือย้อมสี
  • บริโภคอาหารที่ใช้สีจากธรรมชาติ   อาทิ   สีเขียวจากใบเตย
  • หากหลีกเลี่ยงไม่ได้   ควรบริโภคอาหารซึ่งใส่สีสังเคราะห์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ผสมอาหารเท่านั้น
สารฟอกขาว
            สารฟอกขาว ( sodium   hydrosulfite)   คือสารเคมีที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสีของอาหารไม่ให้เกิดสีน้ำตาลเมื่ออาหารถูกความร้อนหรือถูกหั่นแล้ววางไว้ให้สัมผัสอากาศ   และยับยั้งการเจริญเติบโตของยีสต์   รา   และแบคทีเรีย
การนำไปใช้      สารฟอกขาวสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารและอื่นๆ   ดังนี้
                        -อุตสาหกรรมอาหาร   ใช้เป็นวัตถุกันเสียในลูกกวาด   วุ้นเส้น   ไวน์   เบียร์
                        -อุตสาหกรรมอื่นๆ   ใช้ผสมในน้ำยาอัดรูป   ฟอกสีผ้า   กระดาษ   สบู่   ย้อมหนัง
ผลกระทบต่อสุขภาพ
            เมื่อร่างกายได้รับสารฟอกขาวเข้าไปในปริมาณมากจะทำลายวิตามินบี   1    ทำให้เกิดอาการหายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ ปวดท้อง   อาเจียน   อุจจาระร่วง   แน่นหน้าอก   ผิวหนังอักเสบ   ในรายที่แพ้อาจเกิดลมพิษ   ช็อค   หมดสติ   และเสียชีวิตได้
คำแนะนำในการเลือกซื้อของผู้บริโภค
            สารฟอกขาวพบมากในอาหารที่มีสีขาวนวลผิดปกติ   เช่น   ขิงซอย   ขิงดอง   ถั่วงอก   ทุเรียนกวน   ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรเลือกซื้ออาหารที่มีสีใกล้เคียงธรรมชาติ   และควรล้างวัตถุดิบก่อนที่จะนำมาปรุงอาหารด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้ง   หรือ   การปรุงอาหารให้สุกจะช่วยลดสารฟอกขาวที่ตกค้างอยู่ได้

ที่มา:
http://arts.kmutt.ac.th/ssc210/Group 

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การปลูกผัก Hydroponics

“ การปลูกผัก Hydroponicsทานเอง ที่บ้าน” ลงทุนน้อย หารายได้เสริม
ความสับสนวุ่นวายในทุกวันนี้ทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม บ้างก็ป่วยต้องไปหาหมอยา แต่ถ้าหากว่าเราดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีจากภายใน ร่างกายของเราก็จะแข็งแรงพร้อมรับแรงปะทะ ความวุ่นวาย ต่างๆได้อย่างสบาย
การเลือกกินอาหารก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้ร่างกายของเรามีความแข็งแรง โดยเฉพาะการทานพืชผักต่างๆที่มีเส้นใย เนื่องจากระบบลำไส้ของเราแทบจะถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของระบบภายใน ดังนั้นการรับประทานอาหารอะไรก็ตามที่มีเส้นใยสูงจะทำให้การย่อยอาหารของเราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลโดยรวมมาสู่ภายนอกคือหน้าตาสดใส มีความสุขนั้นเอง
ผมเป็นคนหนึ่งที่ทานอาหารได้ทุกอย่าง แต่หลายปีแล้วที่งดทานเนื้อวัว ดังนั้นการทานผักทุกชนิดหรือผักสลัดจึงเป็นอีกเมนูหนึ่งที่ต้องมีทุกมื้อครับ
ผักสลัดก็มีหลายชนิดมากๆ เราสามารถหาซื้อได้ตามห้างหรือซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ราคาก็พอประมาณ ถึงขั้นขอคิดดูก่อน และเรื่องราคานี้แหละที่ทำให้ผมต้องคิดเล่นๆว่า “แล้วทำไม เราไม่ปลูกทานเองหล่ะ”
เมื่อหาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ตก็พบว่ามีหลายๆคนได้ปลูกเองเหมือนกัน แต่วิธีที่ผมสนใจคือการปลูกแบบพืชไร้ดิน ปลอดสารพิษ หรือการปลูกด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ ( Hydroponics) การปลูกวิธีนี้ทำให้ผมมีผักทานอย่างน้อยๆ สัปดาห์ละ2มื้อแน่ๆ และจะทานได้ตลอดปีครับ

สิ่งที่ต้องจัดเตรียมเบื้องต้นคือ                                                            
• พื้นที่ ขนาด ขั้นต่ำ 1 .5 เมตร x 1.5 เมตร (ขนาดเล็กสุด)
• พื้นที่มีแสงแดด อย่าให้แดดจัดมาก ถ้ามีแดดจัดมากให้คลุมใยกรองแสง
• มีน้ำสะอาด ใช้น้ำประปาได้ยิ่งดี เพราะจะคุมคุณภาพน้ำได้ง่าย
• ผมใช้ชุดปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ( Hydroponics) ของ ACK Hydro Fram ขนาด 2 เมตร

ผมได้คุยปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่ ACK Hydro Farm และพบว่าการปลูกผักทานเองนี้ไม่ใช้เรื่องยากเลยครับ การดูแลก็ง่ายมาก ทั้งๆที่ผมเป็นนักเดินทาง ที่ต้องไปโน้นไปนี้ตลอดเวลาก็สามารถวางแผนการปลูกและการดูแลได้ ตลอดเวลาที่เป็นลูกค้านั้น เราสามารถสอบถามหรือปรึกษาที่ ACK Hydro Farm ได้ตลอดเวลาโดยทางบริษัทฯเค้าจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและเป็นกันเองมากๆครับ


การปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ ( Hydroponics)
หมายถึง การปลูกพืชลงบนสารละลายธาตุอาหารพืช โดยให้รากพืชสัมผัสกับสารละลายโดยตรง จุดเด่นของระบบการปลูกแบบนี้มีทั้งในด้าน มาตรฐาน, ปริมาณ และคุณภาพ ของผลผลิต ในส่วนของมาตรฐานนั้นดีแน่นอนเนื่องจากเราสามารถคัดเลือกต้นกล้าที่ดีไปปลูก ได้ ด้านปริมาณเราก็สามารถผลิตได้มากเนื่องจากใช้เวลาปลูกน้อยกว่าการปลูกในดิน จำนวนรอบการผลิตรวมต่อปีจะมากขึ้นถ้าเทียบในระยะเวลาที่เท่ากัน
ซึ่งหลายคนคงจะคิดว่า การปลูกพืชแบบนี้ เป็นเรื่องยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ตอนนี้คงต้องลบความคิดเก่า ๆ เหล่านี้ออกไปก่อน เพราะด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้สะดวกสบายมากขึ้น ในการที่จะปลูกผักไว้รับประทานเอง เพื่อสุขภาพที่ดีทุกวัน ที่สำคัญวิธีการปลูกก็ง่ายแสนง่ายด้วยชุดปลูกระบบไฮโดรโปนิกส์ สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของสถานที่ และความต้องการของเราเอง




http://www.muangthai.com/thaidata/