สารเคมีทุกชนิดส่วนใหญ่จะมีอันตราย ขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมีและปริมาณที่เราได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารเคมีที่มีสลากเขียนข้างภาชนะที่บรรจุว่า "อันตราย (HAZARDOUS)" และมีรูปหัวกะโหลกไขว้แล้วละก็ จะมีอันตรายที่รุนแรงมากหากเราใช้ไม่ถูกวิธีหรือขาดการ เอาใจใส่ในการควบคุมดูแล อันตรายที่เกิดจากการใช้สารเคมี แยกออกได้ และประเภท คือ
เกิดเพลิงไหม้ อันตรายต่อร่างกายของมนุษย์ การเกิดเพลิงไหม้ของสารเคมีไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซองค์ประกอบ ที่สำคัญคือ ความร้อนและปริมาณก๊าซออกซิเจนที่ช่วยในการติดไฟ และถ้าหากสารเคมีอยู่ใน ภาชนะที่ปิดอาจจะเกิดการระเบิดได้ ดังนั้นถ้าหากเราสามารถกำจัดความร้อนและปริมาณก๊าซ ออกซิเจนให้ต่ำกว่าปริมาณที่สามารถทำให้สารเคมีเกิดไฟได้ ก็จะช่วยในการป้องกันการเกิด เพลิงไหม้จากสารเคมี สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ คือ จะเกิดก๊าซไวไฟเนื่องจากปฏิกิริยาของสารเคมีบาง
ชนิด เช่น เกิดก๊าซไฮโดรเจน (H2) จากปฎิกิริยาทางเคมีของขบวนการชุบโครเมียม เป็นต้น ซึ่งเราจะต้องมีวิธีการกำจัดไม่ให้เจอกับประกายไฟอย่างเด็ดขาด เพราะก๊าซไฮโดรเจนเป็น ก๊าซที่ติดไฟได้ สารเคมีที่สามารถทำปฏิกิริยาได้ไวกับสารเคมีตัวอื่น จะต้องเก็บไว้ในภาชนะที่เหมาะสม โดยเฉพาะ มิเช่นนั้นอาจจะเกิดอุบัติเหตุจากภาชนะที่บรรจุหลังขนส่งโดยกัดกร่อนเกิดการรั่ว ของสารเคมีได้ ดังนั้นทางโรงงานจะต้องมีการตรวจสอบอยู่สม่ำเสมอ และเอาใจใส่ในเรื่องนี้ อยู่ตลอดเวลาด้วย
อันตรายของสารเคมี ต่อร่างกายมนุษย์ อันตรายของสารเคมีต่อร่างกายมนุษย์ อันตรายที่เกิดขึ้นมีหลายรูปแบบ ตามลักษณะการสัมผัสและได้รับสารเคมีเข้าร่างกาย เช่น อาจจะเข้าร่างกายเราโดยทาง ปาก จมูก และผิวหนัง ดังนั้นโดยทั่วไปจะเกิดอาการต่อมนุษย์ คือ ทางระบบการย่อยอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และโรคผิวหนัง อุบัติเหตุอันตรายที่เกิดจากการใช้สารเคมี ก็เป็นอุบัติเหตุชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในโรงงาน อุตสาหกรรมโดยทั่วไปได้ เนื่องจากการขาดการเอาใจใส่ต่อวิธีการใช้ หรือการตรวจสอบ ภาชนะที่บรรจุ
ในกรณีที่มีมาตรการป้องกันเกิดการชำรุดเสียหาย พนักงานในโรงงานต้องหายใจหรือรับ เอาสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นอันตรายมากอาจจะถึงแก่ชีวิตได้ การที่เราต้องเอาใจใส่เรื่อง สารเคมีก็เนื่องจากว่า ปัจจุบันมีการใช้สารเคมีชนิดต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างกว้าง ขวางนั่นเอง เช่น
ก๊าซแอมโมเนีย (NH3) อันตรายจะเกิดการระคายเคืองที่รุนแรงต่อระบบทางเดินหายใจ ถ้าหากมนุษย์หายใจ เข้าไปปริมาณมากและมีความเข้มข้นสูง อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ เนื่องจากก๊าซ
แอมโมเนียมีการใช้กันอย่างมากมายและมีความเข้มข้นสูง อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ เนื่องจากก๊าซแอมโมเนียมีการใช้กันอย่างมากมาย ดังนั้นพนักงานควรใส่อุปกรณ์ ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลด้วย เช่น ที่ครอบจมูกป้องกันก๊าซแอมโมเนียโดย
เฉพาะ ก๊าซแอมโมเนียสามารถระเบิดได้ หากรั่วไหลออกจากภาชนะที่บรรจุและเจอกับ เปลวไฟที่มีอยู่บริเวณนั้น
คาร์บอนเตตระคลอไรด์ (CCl4) อันตรายที่เกิดขึ้นทันทีทันใด คือ หากหายใจเข้าไปมากๆ จะทำให้ขาดความรู้สึกตัว
บางทีอาจจะทำอันตรายต่อหัวใจได้ อันตรายที่รองลงมาคือ เกิดการปวดหลัง มีผลต่อ ตับและไต และระบบของการมองเห็น และยังจะมีอันตรายมากขึ้นหากคนนั้นได้กิน เหล้าด้วย การป้องกันที่ดีคือ ควรมีการระบายอากาศที่ดีเพื่อป้องกันการหายใจเอา
ไอของสารเคมีชนิดนี้เข้าไปในร่างกาย กรดไฮโดรครอลิก (HCl) กรดนี้โดยทั่วไปเราเรียกว่า กรดเกลือ มีคุณสมบัติในการกัดกร่อนโลหะต่างๆ อันตรายต่อร่างกายมนุษย์คือ การระคายเคืองผิวหนังและระบบทางเดินหายใจหรือ ส่วนอื่นๆ ที่เราสัมผัส การป้องกันโดยทั่วไปใช้ ถุงมือ ที่ปิดจมูก ครีมทา และระบบ ระบายอากาศที่ดี
กรดไนตริค (HNO3) เป็นกรดที่มีความรุนแรงมากในการทำปฏิกิริยาเคมี เป็นตัวเพิ่มออกซิเจนให้กับ สารตัวอื่น และเป็นตัวกัดกร่อนที่รุนแรง ต้องเก็บเอาไว้ในภาชนะที่เป็นแก้ว และ ให้งจากพวกกระดาษและไม้ หากมีความเข้มข้นมากๆ จะสามารถทำให้เกิดการ ระเบิดและติดไฟได้ เมื่อกรดไนตริคทำปฏิกิริยากับสารอื่นแล้ว จะทำให้เกิดก๊าซ NOx (ออกไซด์ของ
ไนโตรเจน) ซึ่งก๊าซ NOx นี้จะมีอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจจนถึงปอดของ มนุษย์ได้ การป้องกันที่ดี ี คือ ใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เช่น ถุงมือยางที่ปิดจมูกเป็นต้น และต้องมีระบบระบายอากาศที่ดีด้วย
กรดซัลฟูริค (H2SO4) กรดนี้เราเรียกทั่วไปว่า กรดกำมะถัน ลักษณะเป็นของเหลวที่เข้มข้นเหมือนน้ำมัน
ใสๆ มีอันตรายต่อมนุษย์โดยการกัดกร่อนเนื้อเยื่อที่เราสัมผัส เช่น ทางเดินหายใจ แผลพุพอง เกิดโรคผิวหนัง และระคายเคืองต่อเยื่อบุตา การป้องกัน ต้องระวังต่อไอที่ระเหยและการสัมผัสโดยตรง โดยการใช้อุปกรณ์ป้อง กันอันตรายส่วนบุคคล
กรดกำมะถัน ที่มีความเข้มข้นสูง จะกัดกร่อนต่อโลหะ และมีคุณสมบัติต่อการดูดน้ำ จากอากาศ และเมื่อทำปฏิกิริยากับโลหะจะเกิดก๊าซที่ไวไฟซึ่งสามารถเกิดการระเบิดได้
ไตรคลอโรเอทธิลีน ( Cl-CH = CCl2) มีคุณสมบัติเป็นด่างละลายคราบไขมันต่างๆ อันตรายต่อมนุษย์จะทำลายระบบประสาท แต่มีผลต่อตับ ตลอดจนทำลายระบบไขมันของร่างกายได้ การป้องกันควรใช้อุปกรณ์ ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เช่น ถุงมือ ที่ปิดจมูก และอื่นๆ
ที่มา
http://board.dserver.org/r/rose/00000067.html
วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554
ขอบขนมปังมีประโยชน์
ดร.โทมัส ฮอฟมานน์ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยมุนสเตอร์ เยอรมนี เป็นผู้พบว่าขอบขนมปังเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระอันอุดมสมบูรณ์มากกว่าส่วนอื่นๆ ของขนมปัง งานวิจัยของเขามาจากการตรวจสอบขอบขนมปัง เนื้อขนมปัง และแป้งธรรมดา พบว่าขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า โพรนีลไลซีน (pronyl-lysine) มากกว่าในส่วนที่เป็นขนมปังขาว 8 เท่า ขณะที่แป้งธรรมดาไม่มีเลย หมายความว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ว่า จะเกิดขึ้นต่อเมื่อขนมปังผ่านกระบวนการอบมาแล้วเท่านั้น
สารโพรนิลไลซีนเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาล ในขั้นตอนการอบ เรียกว่าปฏิกิริยาเมลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาลบนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว และกระ บวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสารให้กลิ่น รสชาติให้ขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ งานวิจัยบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้ม เช่น ขนมปังโฮลวีท มีสารต้าน อนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว และสารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนหากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็กๆ จะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ หรือเป็นปอนด์ แต่ฮอฟมานน์เตือนว่า ถ้าพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานได้ง่ายๆ เหมือนกัน
ทั้งนี้ วิธีการที่ทำให้ขอบขนมปังมีประโยชน์คือการอบ จากที่กระบวนการอบเป็นการเปลี่ยนสภาพที่ยังดิบให้สุกโดยการใช้ความร้อน ซึ่งทั่วไปแล้วเตาอบ จะมีอุณหภูมิระหว่าง 191-232 องศาเซลเซียส ระยะเวลาในการอบขึ้นอยู่กับขนาดและส่วนผสมของขนมปังแต่ละชนิด ในขณะอบจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพและทางเคมีในโด คือ ความร้อนจะแผ่กระจายไปยังโด กระตุ้นให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีแรงดัน น้ำกลายเป็นไอและแอลกอฮอล์ขยายตัว ช่วยกันดันโครงร่างของโดให้มี ปริมาตรเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันความร้อนในช่วงแรกของการอบจะกระตุ้นการทำงานของยีสต์และเอนไซม์ให้เกิดกระบวนการหมักเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดก๊าซและแอลกอฮอล์ เสริมขึ้นมา ซึ่งโดยปกติยีสต์จะหยุดการทำงานที่ 43 องศาเซลเซียส และจะตายที่อุณหภูมิ 54 องศาเซลเซียส เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้นสตาร์ชจะพองตัวและกลายเป็นเจล ขณะขนมปังสุกนี้ สตาร์ชจะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอะมิโลสจะเคลื่อนย้ายออกจากเม็ดสตาร์ช เมื่อทำให้ขนมปังเย็นและทิ้งไว้นาน อะมิโลสจะเปลี่ยนแปลงกลับ มีลักษณะขุ่นเป็นตะกอนขาวอีกครั้ง ในระหว่างที่สตาร์ชเกิดเจลนั้นจะดึงน้ำจากโดมาทำให้กลูเตนสูญเสียน้ำ เปลี่ยนสภาพจากเดิมที่เคยยืดหยุ่นกลับแข็งตัวขึ้น ทำให้ได้โครงร่างของเซลล์มีรูพรุน ผนังเซลล์บางเป็นใยเชื่อมติดกัน รูปรีบ้าง กลมบ้าง กระจายอยู่ทั่วไปทั้งก้อนขนมปัง ในขณะเดียวกันเอนไซม์และยีสต์จะค่อยๆ ตายไป เนื่องจากทนความร้อนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้
ส่วนผิวนอกของขนมปังจะเปลี่ยนสีเพราะเกิดคาราเมล เนื่องจากความร้อนทำให้น้ำตาลที่ผิวโดเปลี่ยนสภาพเป็นสีน้ำตาล และการเกิดปฏิกิริยาเมลาร์ด จากน้ำตาลและกรดอะมิโน ให้สารสีน้ำตาลเรียกว่ามิลานอยดิน พร้อมเกิดสารให้กลิ่นรส และสุกในที่สุด โดยเกิดการสูญเสียน้ำหนักของก้อนโด 9-10% เนื่อง จากการระเหยของน้ำและสารอื่นๆ
สารโพรนิลไลซีนเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาล ในขั้นตอนการอบ เรียกว่าปฏิกิริยาเมลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาลบนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว และกระ บวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสารให้กลิ่น รสชาติให้ขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ งานวิจัยบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้ม เช่น ขนมปังโฮลวีท มีสารต้าน อนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว และสารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนหากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็กๆ จะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ หรือเป็นปอนด์ แต่ฮอฟมานน์เตือนว่า ถ้าพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานได้ง่ายๆ เหมือนกัน
ทั้งนี้ วิธีการที่ทำให้ขอบขนมปังมีประโยชน์คือการอบ จากที่กระบวนการอบเป็นการเปลี่ยนสภาพที่ยังดิบให้สุกโดยการใช้ความร้อน ซึ่งทั่วไปแล้วเตาอบ จะมีอุณหภูมิระหว่าง 191-232 องศาเซลเซียส ระยะเวลาในการอบขึ้นอยู่กับขนาดและส่วนผสมของขนมปังแต่ละชนิด ในขณะอบจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพและทางเคมีในโด คือ ความร้อนจะแผ่กระจายไปยังโด กระตุ้นให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีแรงดัน น้ำกลายเป็นไอและแอลกอฮอล์ขยายตัว ช่วยกันดันโครงร่างของโดให้มี ปริมาตรเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันความร้อนในช่วงแรกของการอบจะกระตุ้นการทำงานของยีสต์และเอนไซม์ให้เกิดกระบวนการหมักเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดก๊าซและแอลกอฮอล์ เสริมขึ้นมา ซึ่งโดยปกติยีสต์จะหยุดการทำงานที่ 43 องศาเซลเซียส และจะตายที่อุณหภูมิ 54 องศาเซลเซียส เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้นสตาร์ชจะพองตัวและกลายเป็นเจล ขณะขนมปังสุกนี้ สตาร์ชจะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอะมิโลสจะเคลื่อนย้ายออกจากเม็ดสตาร์ช เมื่อทำให้ขนมปังเย็นและทิ้งไว้นาน อะมิโลสจะเปลี่ยนแปลงกลับ มีลักษณะขุ่นเป็นตะกอนขาวอีกครั้ง ในระหว่างที่สตาร์ชเกิดเจลนั้นจะดึงน้ำจากโดมาทำให้กลูเตนสูญเสียน้ำ เปลี่ยนสภาพจากเดิมที่เคยยืดหยุ่นกลับแข็งตัวขึ้น ทำให้ได้โครงร่างของเซลล์มีรูพรุน ผนังเซลล์บางเป็นใยเชื่อมติดกัน รูปรีบ้าง กลมบ้าง กระจายอยู่ทั่วไปทั้งก้อนขนมปัง ในขณะเดียวกันเอนไซม์และยีสต์จะค่อยๆ ตายไป เนื่องจากทนความร้อนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้
ส่วนผิวนอกของขนมปังจะเปลี่ยนสีเพราะเกิดคาราเมล เนื่องจากความร้อนทำให้น้ำตาลที่ผิวโดเปลี่ยนสภาพเป็นสีน้ำตาล และการเกิดปฏิกิริยาเมลาร์ด จากน้ำตาลและกรดอะมิโน ให้สารสีน้ำตาลเรียกว่ามิลานอยดิน พร้อมเกิดสารให้กลิ่นรส และสุกในที่สุด โดยเกิดการสูญเสียน้ำหนักของก้อนโด 9-10% เนื่อง จากการระเหยของน้ำและสารอื่นๆ
วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
แมวเรืองแสง รักษาโรคเอดส์
Mthai News : สำนักข่าวต่างประเทศเผยภาพแมวเรืองแสง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยเพื่อนำมารักษาโรคเอดส์ โดยการนำแมวบ้านมาตัดต่อพันธุกรรมด้วยยีน 2 ชนิด คือยีนที่ผลิตโปรตีนซึ่งต่อต้านโรคเอดส์ เรียกว่า feline immunodeficiency virus (FIV) และการใช้ยีนแมงกระพรุนเรืองแสง ซึ่งจะทำให้แมวเกิดการเรืองแสงสีเขียว เมื่อถูกส่องด้วยแสงอัลตราไวโอเลต
ทั้ง นี้ การส่องด้วยแสงอัลตราไวโอเลตนั้นเพื่อตรวจสอบความสามารถว่าแมวนั้นสามารถ ผลิตโปรตีนรักษาเอดส์ได้เช่นเดียวกับลิงแสมหรือไม่ โดยยีนที่ได้จากโปรตีนและแมงกระพรุนเรืองแสงจะทำงานสัมพันธ์กัน โดยยีนเรืองแสงจากแมงกระพรุนใช้สำหรับติดตามการทำงานของยีนอีกชนิดหนึ่ง
โดย ขั้นตอนเริ่มจาก นักวิจัยใช้ไวรัสที่ไม่มีอันตรายถ่ายโอนยีนเข้าไปในไข่ของแมวที่นำออก มาระหว่างการทำหมัน จากนั้นนำไข่ไปปฏิสนธิในหลอดทดลอง (IVF) และนำฝังในแม่อุ้มบุญ โดยทำการทดลองมากถึง 22 ครั้งจึงได้ลูกแมว 5 ตัว แต่รอดชีวิตเพียง 3 ตัว โดยมี 2 ตัวสุขภาพดี แต่อีก 1 ตัว มีปัญหาสุขภาพแต่นักวิจัยไม่เชื่อว่าเกิดจากการดัดแปลงยีน
อย่างไรก็ ตาม ในการศึกษาได้ทดลองฉายแสงอัลตราไวโอเลตบนตัวลูกแมวพบว่า สามารถเรืองแสงได้ ซึ่งช่วยยืนยันได้ด้วยว่า มีการผลิตโปรตีนอยู่ในเนื้อเยื่อ เมื่อนำเซลล์ลูกแมวเหล่านี้ออกมาทดสอบพบว่า สามารถต้านการติดเชื้อ FIV ได้ดีกว่าเซลล์จากแมวปกติ ในขณะที่มีลูกแมว 2 ตัวสามารถสืบพันธุ์มีลูกได้ โดยที่ลูกแมวรุ่นหลังทั้งหมดยังคงมียีนใหม่อยู่
ทั้ง นี้ การส่องด้วยแสงอัลตราไวโอเลตนั้นเพื่อตรวจสอบความสามารถว่าแมวนั้นสามารถ ผลิตโปรตีนรักษาเอดส์ได้เช่นเดียวกับลิงแสมหรือไม่ โดยยีนที่ได้จากโปรตีนและแมงกระพรุนเรืองแสงจะทำงานสัมพันธ์กัน โดยยีนเรืองแสงจากแมงกระพรุนใช้สำหรับติดตามการทำงานของยีนอีกชนิดหนึ่ง
โดย ขั้นตอนเริ่มจาก นักวิจัยใช้ไวรัสที่ไม่มีอันตรายถ่ายโอนยีนเข้าไปในไข่ของแมวที่นำออก มาระหว่างการทำหมัน จากนั้นนำไข่ไปปฏิสนธิในหลอดทดลอง (IVF) และนำฝังในแม่อุ้มบุญ โดยทำการทดลองมากถึง 22 ครั้งจึงได้ลูกแมว 5 ตัว แต่รอดชีวิตเพียง 3 ตัว โดยมี 2 ตัวสุขภาพดี แต่อีก 1 ตัว มีปัญหาสุขภาพแต่นักวิจัยไม่เชื่อว่าเกิดจากการดัดแปลงยีน
อย่างไรก็ ตาม ในการศึกษาได้ทดลองฉายแสงอัลตราไวโอเลตบนตัวลูกแมวพบว่า สามารถเรืองแสงได้ ซึ่งช่วยยืนยันได้ด้วยว่า มีการผลิตโปรตีนอยู่ในเนื้อเยื่อ เมื่อนำเซลล์ลูกแมวเหล่านี้ออกมาทดสอบพบว่า สามารถต้านการติดเชื้อ FIV ได้ดีกว่าเซลล์จากแมวปกติ ในขณะที่มีลูกแมว 2 ตัวสามารถสืบพันธุ์มีลูกได้ โดยที่ลูกแมวรุ่นหลังทั้งหมดยังคงมียีนใหม่อยู่
ไทม์จัดอันดับ 10 สัตว์ประหลาดตัวเป็นๆที่น่ากลัวที่สุด
โดยอันดับที่ 1 เป็น จระเข้ยักษ์ ที่พบในหมู่บ้านบูนาวัน ในประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยความยาว 21 ฟุต และน้ำหนักกว่า 2370 ปอนด์ (ประมาณ 1 ตัน) ซึ่งมีคนสังเวยชีวิตให้เจ้าจระเข้ยักษ์ตัวนี้หลายคน จนกระทั่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ชาวบ้านได้ช่วยกันใช้เครนนำร่างของมันขึ้นมาไว้บนรถบรรทุก
อันดับที่ 2 ปลาหมึกยักษ์ ไม่ ค่อยถูกพบขณะยังมีชีวิต แต่ปลาหมึกยักษ์ตัวนี้ นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า มันจะเติบโตและมีความยาวได้ถึง 45 ฟุต และหนักเกือบ 1 ตัน ซึ่งถูกถ่ายภาพไว้ได้ในปี 2004 ที่ใต้ทะเลลึก 3,000 ฟุต
อันดับที่ 3 ได้แก่ Goliath Birdeater Tarantula แมงมุมยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวประมาณ 1 ฟุต หนักประมาณ 6 ออนซ์ (170 กรัม) มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่อเมริกาใต้ โดย สมญานาม Goliath Birdeater Tarantula มาจาก แมงมุมชนิดนี้ชอบกินนกฮัมมิ่งเบิร์ด
อันดับ 4 คือ แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส (Portuguese Man-of-War) เป็น แมงกระพรุนที่มีลักษณ์คล้ายปลาหมึกที่มีพิษร้ายแรงมาก พบในทะเลเปิดของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ทะเลเมดิเตอเรเนียน, มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย
อันดับ 5 ได้แก่ แมงป่องจักรพรรดิ ถูกพบอยู่ทางตะวันตกของแอฟริกา เป็นแมงป่องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวถึง 8 นิ้ว แม้ว่าหล็กในจะทำให้มันดูดุร้าย แต่ความจริงแล้วในเป็นสัตว์ที่เชื่องและสามารถนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงได้
อันดับ 6 คือ ค้างคาวดูดเลือด มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ ชอบดูดเลือดสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหาร
อันดับ 7 ได้แก่ ปลาพญานาค (ปลายักษ์) เป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดถึง 56 ฟุต อาศัยอยู่ในน้ำลึกกว่า 3,000 ฟุต เคยพบตัวใหญ่ที่สุด มีความยาวถึง 200 ฟุต แต่เมื่อมันใกล้จะตายมักลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ จนบางครั้งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นงู
อันดับ 8 คือ แมงกระพรุนกล่อง(ตัวต่อทะเล) อาศัย อยู่ในน้ำตามแนวชายฝั่งของออสเตรเลียตอนเหนือและทั่วอินโดแปซิฟิก มีสีฟ้าอ่อน โปร่งใสเป็นแมงกระพรุนที่มีพิษร้ายแรงมาก เมื่อถูกต่อยพิษของมันจะตรงเข้าสู่หัวใจและระบบประสาท
อันดับที่ 9 ได้แก่ งูเหลือมพม่า เป็น งูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โตเต็มที่ได้ถึง 25 ฟุต และหนักถึง 200 ปอนด์ แต่ไม่มีพิษร้ายแรง ล่าเหยื่อโดยการบีบรัดเหยื่อ มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และอันดับที่ 10 ได้แก่ The Loch Ness Monster สัตว์ประหลาดล็อกเนสส์ มีลำคอยาว ลำตัวสีดำ อาศัยอยู่ในน้ำลึก ทางตอนเหนือของสก็อตแลนด์ เชื่อว่าเนสซีมีรูปร่างคล้ายสัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยในทะเลยุคเดียวกับ ไดโนเสาร์
MThai News : เว็บไซต์นิตยสารไทม์ ได้จัดอันดับ สัตว์ประหลาดที่น่ากลัวที่สุดในโลก 10อันดับ
วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554
จีโนมคนไทย
นักวิจัยรามาประกาศถอดจีโนมคนไทยรายแรก สุ่ม 1 ตัวอย่างชายไทย แต่ไม่เปิดเผยนาม สร้างฐานข้อมูลอ้างอิงละเอียดที่สุด 3 พันล้านเบส เพื่อวิเคราะห์ลำดับโปรตีน และค้นหายาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล คาดใช้เวลา 3-5 ปี จะได้มาตรฐานการรักษาแบบเลือกใช้ยาตามลักษณะทางพันธุกรรม พร้อมลดเสี่ยงอันตรายจากการแพ้ยา
ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าโครงการเภสัชพันธุศาสตร์ ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี แถลงต่อสื่อมวลชน ถึงการทำโครงการถอดรหัสพันธุกรรมคนไทยรายแรก ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TCELS) หน่วยไวรัสวิทยา และห้องปฏิบัติการเภสัชพันธุศาสตร์และการรักษาเฉพาะบุคคล ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ณ อาคารวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 10 พ.ค.54
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เป็นการถอดรหัสพันธุกรรมหรือจีโนมของคนไทยเป็นครั้งแรก โดยจะเริ่มขึ้นใน เดือน มิ.ย.54 ซึ่งทางโครงการได้สุ่มคัดเลือกชายไทย ที่มีสุขภาพดี และมีบรรพบุรุษอยู่ในไทยย้อนไป 3-4 ชั่วรุ่น แต่ไม่เปิดเผยนาม ซึ่งผู้ได้รับคัดเลือกนั้น เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มตัวอย่าง 280 คนจากโครงการวิจัยด้านเภสัชพันธุศาสตร์ ที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้
สำหรับผลจากการถอดจีโนมครั้งนี้ จะใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง หรือต้นแบบสำหรับศึกษาเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงจีโนมในระดับดีเอ็นเอ ของผู้ป่วยโรคต่างๆ ทั้งที่พบได้บ่อยและพบได้ยาก โดยเน้นเฉพาะโรคทางพันธุกรรม “ถ้าถอดรหัสพันธุกรรมแล้ว เราจะได้ข้อมูลสำหรับวิเคราะห์โรคทางพันธุกรรม ความเสี่ยงเสี่ยงที่จะเกิดโรคพันธุกรรมที่ซับซ้อน รู้ว่าจะแพ้ยาตัวไหน หรือใช้ยาตัวไหนได้ดี รู้ว่าจะมีอายุประมาณเท่าไร หรือมีแนวโน้มเป็นโรคอะไร ซึ่งหลังจากมีรหัสพันธุกรรมแล้ว เราสามารถแปลงเป็นลำดับโปรตีน แล้วใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างโครงสร้างสามมิติของโปรตีน ถ้าเป็นโปรตีนที่ก่อโรคก็จะหายามารักษาได้ โดยใช้ยา 6,000 รายการ ที่ได้รับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสรรพคุณยาด้วย” ดร.วสันต์กล่าว และบอกว่าโครงการนี้ ยังวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมของผู้ที่เป็นโรคด้วย
ทางด้าน ดร.เอกวัฒน์ ผสมทรัพย์ ผู้สร้างโปรแกรมวิเคราะห์รหัสพันธุกรรม จากหน่วยไวรัสวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายว่า รหัสพันธุกรรมจะมีลำดับเบส A G T C ซึ่งการรู้รหัสเบส จะทำให้เรารู้ลำดับโปรตีน เมื่อนำเลือดใส่เข้าเครื่องถอดรหัสพันธุกรรม จะได้ลำดับเบสหลายเส้น แต่ละเส้นยาว 50-60 ตัว จากนั้นนำมาต่อกัน ซึ่งใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1-2 สัปดาห์ ข้อมูล 3 พันล้านเบสนี้ เทียบเท่าพจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ 100 เล่มเรียงกัน
หลังจากนั้นจะใช้โปรแกรมวิเคราะห์ยีน 20,000 ชิ้น แล้ววิเคราะห์โปรตีนอีก 60,000 ชุด ตามด้วยการวิเคราะห์โครงสร้าง 3 มิติของโปรตีนปกติและโปรตีนที่ก่อโรค โดยกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 3-5 ปี ผ่านการประมวลผลตำแหน่งดีเอ็นเอบนจีโนมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเซลล์ปกตินั้น ใช้โปรแกรมชีววิทยาเชิงคำนวณ (computational biology) ที่ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) สหรัฐฯ
หากโครงการนี้แล้วเสร็จ ดร.วสันต์กล่าวว่า จะกลายเป็นทางเลือกใหม่ ให้แพทย์นำไปทดลองใช้ เพราะการรักษาแบบเดิมที่ต้องเลือกใช้ยากับผู้ป่วยแบบลองผิดลองถูก ซึ่งมีความเสี่ยงอันตรายที่จะเกิดอาการแพ้ยาได้ โดยบางกรณีไม่ใช่แค่ผื่นขึ้น แต่รุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต หากปรับมาสู่การรักษาที่มุ่งเน้นการใช้ยาส่วนบุคคล (personalized medicine) ที่สอดคล้องกับพันธุกรรมของผู้ป่วย ก็จะปลอดภัยและเป็นมาตรฐานในการรักษาต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ในประเทศไทยเริ่มมีการรักษาแบบมุ่งเน้นการใช้ยาส่วนบุคคลแล้ว โดย ดร.ชลภัทร สุขเกษม จากห้องปฏิบัติการเภสัชพันธุศาสตร์และการรักษาโรคเฉพาะบุคคล โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ยกตัวอย่างการรักษาผู้ป่วยออทิสติกที่มีถึง 30-40% แพ้ยากันชักแล้วเกิดอาการสตีเฟน จอห์นสันซินโดรม จึงมีผู้ป่วยกลุ่มนี้มารับการตรวจยีนที่มีโอกาสแพ้ยาจำนวนมาก โดยค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2,000-20,000 บาท ซึ่งเป็นผลตรวจที่ใช้ได้ตลอดชีวิต แต่ขณะนี้ทางห้องปฏิบัติการกำลังพัฒนาชุดตรวจเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการตรวจและเปิดโอกาสให้คนไทยได้รับการตรวจมากขึ้น โดยพยายามทำให้ราคาลงไปอยู่ในระดับหลักร้อยถึงหลักพันบาท.
ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าโครงการเภสัชพันธุศาสตร์ ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี แถลงต่อสื่อมวลชน ถึงการทำโครงการถอดรหัสพันธุกรรมคนไทยรายแรก ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TCELS) หน่วยไวรัสวิทยา และห้องปฏิบัติการเภสัชพันธุศาสตร์และการรักษาเฉพาะบุคคล ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ณ อาคารวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 10 พ.ค.54
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เป็นการถอดรหัสพันธุกรรมหรือจีโนมของคนไทยเป็นครั้งแรก โดยจะเริ่มขึ้นใน เดือน มิ.ย.54 ซึ่งทางโครงการได้สุ่มคัดเลือกชายไทย ที่มีสุขภาพดี และมีบรรพบุรุษอยู่ในไทยย้อนไป 3-4 ชั่วรุ่น แต่ไม่เปิดเผยนาม ซึ่งผู้ได้รับคัดเลือกนั้น เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มตัวอย่าง 280 คนจากโครงการวิจัยด้านเภสัชพันธุศาสตร์ ที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้
สำหรับผลจากการถอดจีโนมครั้งนี้ จะใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง หรือต้นแบบสำหรับศึกษาเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงจีโนมในระดับดีเอ็นเอ ของผู้ป่วยโรคต่างๆ ทั้งที่พบได้บ่อยและพบได้ยาก โดยเน้นเฉพาะโรคทางพันธุกรรม “ถ้าถอดรหัสพันธุกรรมแล้ว เราจะได้ข้อมูลสำหรับวิเคราะห์โรคทางพันธุกรรม ความเสี่ยงเสี่ยงที่จะเกิดโรคพันธุกรรมที่ซับซ้อน รู้ว่าจะแพ้ยาตัวไหน หรือใช้ยาตัวไหนได้ดี รู้ว่าจะมีอายุประมาณเท่าไร หรือมีแนวโน้มเป็นโรคอะไร ซึ่งหลังจากมีรหัสพันธุกรรมแล้ว เราสามารถแปลงเป็นลำดับโปรตีน แล้วใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างโครงสร้างสามมิติของโปรตีน ถ้าเป็นโปรตีนที่ก่อโรคก็จะหายามารักษาได้ โดยใช้ยา 6,000 รายการ ที่ได้รับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสรรพคุณยาด้วย” ดร.วสันต์กล่าว และบอกว่าโครงการนี้ ยังวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมของผู้ที่เป็นโรคด้วย
ทางด้าน ดร.เอกวัฒน์ ผสมทรัพย์ ผู้สร้างโปรแกรมวิเคราะห์รหัสพันธุกรรม จากหน่วยไวรัสวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายว่า รหัสพันธุกรรมจะมีลำดับเบส A G T C ซึ่งการรู้รหัสเบส จะทำให้เรารู้ลำดับโปรตีน เมื่อนำเลือดใส่เข้าเครื่องถอดรหัสพันธุกรรม จะได้ลำดับเบสหลายเส้น แต่ละเส้นยาว 50-60 ตัว จากนั้นนำมาต่อกัน ซึ่งใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1-2 สัปดาห์ ข้อมูล 3 พันล้านเบสนี้ เทียบเท่าพจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ 100 เล่มเรียงกัน
หลังจากนั้นจะใช้โปรแกรมวิเคราะห์ยีน 20,000 ชิ้น แล้ววิเคราะห์โปรตีนอีก 60,000 ชุด ตามด้วยการวิเคราะห์โครงสร้าง 3 มิติของโปรตีนปกติและโปรตีนที่ก่อโรค โดยกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 3-5 ปี ผ่านการประมวลผลตำแหน่งดีเอ็นเอบนจีโนมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเซลล์ปกตินั้น ใช้โปรแกรมชีววิทยาเชิงคำนวณ (computational biology) ที่ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) สหรัฐฯ
หากโครงการนี้แล้วเสร็จ ดร.วสันต์กล่าวว่า จะกลายเป็นทางเลือกใหม่ ให้แพทย์นำไปทดลองใช้ เพราะการรักษาแบบเดิมที่ต้องเลือกใช้ยากับผู้ป่วยแบบลองผิดลองถูก ซึ่งมีความเสี่ยงอันตรายที่จะเกิดอาการแพ้ยาได้ โดยบางกรณีไม่ใช่แค่ผื่นขึ้น แต่รุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต หากปรับมาสู่การรักษาที่มุ่งเน้นการใช้ยาส่วนบุคคล (personalized medicine) ที่สอดคล้องกับพันธุกรรมของผู้ป่วย ก็จะปลอดภัยและเป็นมาตรฐานในการรักษาต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ในประเทศไทยเริ่มมีการรักษาแบบมุ่งเน้นการใช้ยาส่วนบุคคลแล้ว โดย ดร.ชลภัทร สุขเกษม จากห้องปฏิบัติการเภสัชพันธุศาสตร์และการรักษาโรคเฉพาะบุคคล โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ยกตัวอย่างการรักษาผู้ป่วยออทิสติกที่มีถึง 30-40% แพ้ยากันชักแล้วเกิดอาการสตีเฟน จอห์นสันซินโดรม จึงมีผู้ป่วยกลุ่มนี้มารับการตรวจยีนที่มีโอกาสแพ้ยาจำนวนมาก โดยค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2,000-20,000 บาท ซึ่งเป็นผลตรวจที่ใช้ได้ตลอดชีวิต แต่ขณะนี้ทางห้องปฏิบัติการกำลังพัฒนาชุดตรวจเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการตรวจและเปิดโอกาสให้คนไทยได้รับการตรวจมากขึ้น โดยพยายามทำให้ราคาลงไปอยู่ในระดับหลักร้อยถึงหลักพันบาท.
ชิมแปนซี
ทั้งนี้ ชิมแปนซีทั้ง 10 ตัว ถูกแยกออกมาจากแม่หลังจากลืมตาดูโลกได้ไม่นาน และได้ถูกนำไปเป็นสัตว์ทดลองในการทดลองยาและทดลองทางการแพทย์ ในบริษัทผู้ผลิตยาแห่งหนึ่งของออสเตรีย โดยทั้ง 10 ตัวถูกแยกให้อยู่ตามลำพังหลังจากมีการทดลองโดยการฉีดเชื้อเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบให้
อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 1997 โครงการดังการต้องสิ้นสุดลง เนื่องจากบริษัทยาดังกล่าวถูกขายต่อ ซึ่งชิมแปนซีทั้ง 10 ตัว ถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ในฟาร์มแห่งหนึ่งเพื่อฝึกการใช้ชีวิต เพราะลิงพวกนี้อาศัยอยู่แต่ในห้องทดลองแบบปิดมาโดยตลอด ซึ่งผู้ดูแลบอกว่า ตนมีความสุข ที่เห็นลิงชิมแปนซีกลุ่มนี้มีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ
อึ้ง! คนไทยติดเอดส์เพิ่มขึ้น โดยวิธีฉีด เฉลี่ยวันละ 27 ราย
ทั้งนี้ จำนวนผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีดในประเทศจากการคาดประมาณไม่ต่ำกว่า 30,000 คน และด้วยอัตราการใช้เข็มและกระบอกฉีดร่วมกันที่สูงถึงร้อยละ 36 ในปี 2551 ทำให้คาดประมาณว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ที่เป็นผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีดยาเข้าเส้นเลือดในปี 2553 ประมาณ 900 คน
อย่างไรก็ตาม หากสามารถดำเนินการเร่งรัดการป้องกันการติดเชื้อ โดยใช้วิธีอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ย่อมทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกลุ่มนี้ลดลงเหลือประมาณ 400 คน
ส่วนมาตรการในการป้องกันการติดเชื้อในผู้ติดยาเสพติดนั้น กรมดำเนินการภายใต้การสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ในการจัดทำ โครงการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดในประเทศไทย เพื่อหามาตรการลดปัญหาผู้ติดเชื้อจากการใช้ยาเสพติด ซึ่งดำเนินการมาแล้ว 2 ปี มีอาสาสมัครที่เคยติดยาเสพติด ร่วมกับเครือข่ายผู้ใช้ยาแห่งประเทศไทย คอยช่วยเหลือในการหาคนเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 14 จังหวัด ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดยาฯ ที่เข้าร่วมโครงการราว 4-5 พันคน โดยแต่ละคนมีมาตรการในการลดอันตรายจากการใช้ยาแตกต่างกันไป
http://news.mthai.com/general-news/129883.html
วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554
อันตราย...
Mthai News : สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า แพทย์จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ในกรุงไทเป ของไต้หวัน นำอวัยวะ จากผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (เชื้อเอดส์) ซึ่งได้รับการบริจาค ปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยถึง 5 ราย
โดยเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและบอกว่าขณะนี้ผู้ป่วย ที่ได้รับอวัยวะของผู้ติดเชื้อ กำลังได้รับยาต้านเชื้อเอชไอวีแล้วและได้โพสข้อความชี้แจงผ่านเว็บไซต์ของโรงพยาบาล เมื่อสุดสัปดาห์ว่า ความผิดพลาดเกิดจาก เจ้าหน้าที่ทั้งสองสื่อสารกันผ่านโทรศัพท์ จากคำว่า “มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อเอชไอวี” เป็นคำว่า “ไม่มีปฏิกิริยา” โดยไม่มีการตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งอื่นซ้ำอีกรอบตามที่ขั้นตอนกำหนด
ทั้งนี้ ผู้บริจาคอวัยวะเป็นชายวัย 37 ปี ในเมืองซินฉู่ ล้มป่วยถึงขั้นโคม่าเมื่อวันที่ 24 ส.ค. โดยหัวใจ ตับ ปอด และไตสองข้าง ของเขาได้รับการปลูกถ่ายให้ผู้ป่วย 4 รายของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันและผู้ป่วยอีก 1 ราย จากโรงพยาบาลอื่น โดยที่ครอบครัวของผู้บริจาค ไม่รู้ว่าเขาติดเชื้อเอชไอวี (เชื้อเอดส์) ซึ่งขณะนี้แพทย์และพยาบาลที่ร่วมทำการปลูกถ่ายอวัยวะเริ่มแสดงความกังวลว่าพวกเขาอาจมีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีด้วยก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุขกำลังจะเข้าตรวจสอบเรื่องนี้และจะตัดสินใจว่าจะดำเนินมาตรการลงโทษต่อโรงพยาบาลอย่างไร ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และถูกตัดสินว่ามีความผิด อาจต้องรับโทษจำคุกสูงถึง 10 ปีและทางโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน อาจต้องถูกสั่งห้ามทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะนาน 1 ปี
โดยเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและบอกว่าขณะนี้ผู้ป่วย ที่ได้รับอวัยวะของผู้ติดเชื้อ กำลังได้รับยาต้านเชื้อเอชไอวีแล้วและได้โพสข้อความชี้แจงผ่านเว็บไซต์ของโรงพยาบาล เมื่อสุดสัปดาห์ว่า ความผิดพลาดเกิดจาก เจ้าหน้าที่ทั้งสองสื่อสารกันผ่านโทรศัพท์ จากคำว่า “มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อเอชไอวี” เป็นคำว่า “ไม่มีปฏิกิริยา” โดยไม่มีการตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งอื่นซ้ำอีกรอบตามที่ขั้นตอนกำหนด
ทั้งนี้ ผู้บริจาคอวัยวะเป็นชายวัย 37 ปี ในเมืองซินฉู่ ล้มป่วยถึงขั้นโคม่าเมื่อวันที่ 24 ส.ค. โดยหัวใจ ตับ ปอด และไตสองข้าง ของเขาได้รับการปลูกถ่ายให้ผู้ป่วย 4 รายของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันและผู้ป่วยอีก 1 ราย จากโรงพยาบาลอื่น โดยที่ครอบครัวของผู้บริจาค ไม่รู้ว่าเขาติดเชื้อเอชไอวี (เชื้อเอดส์) ซึ่งขณะนี้แพทย์และพยาบาลที่ร่วมทำการปลูกถ่ายอวัยวะเริ่มแสดงความกังวลว่าพวกเขาอาจมีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีด้วยก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุขกำลังจะเข้าตรวจสอบเรื่องนี้และจะตัดสินใจว่าจะดำเนินมาตรการลงโทษต่อโรงพยาบาลอย่างไร ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และถูกตัดสินว่ามีความผิด อาจต้องรับโทษจำคุกสูงถึง 10 ปีและทางโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน อาจต้องถูกสั่งห้ามทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะนาน 1 ปี
ปลอดภัยไว้ก่อน
กรมวิทย์ฯ เตือนระวัง “ขวดน้ำพลาสติก” ใช้ซ้ำ เสี่ยงเชื้อโรค
กรุงเทพฯ 30 ส.ค.- กรมวิทย์ฯ เตือนประชาชนหากนำขวดน้ำพลาสติกมาใช้ใหม่ต้องล้างทำความสะอาด หมั่นสังเกตว่าสีของขวดพลาสติก หากมีคราบสีเหลืองหรือมีสีขุ่น ขวดบุบ มีรอยร้าวหรือแตก ไม่ควรนำมาใช้ใหม่ เนื่องจากอาจมีสารเคมีในเนื้อพลาสติกหลุดลอกลงในน้ำดื่มได้ ขณะเดียวกันเป็นแหล่งสะสมและปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย
นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้มีฝนตกหนักในหลายจังหวัด ส่งผลให้เกิดน้ำท่วม ประชาชนได้รับความเดือดร้อน หากจำเป็นต้องนำขวดพลาสติกเปล่าที่ใช้แล้วมากักตุนน้ำไว้สำหรับดื่มและใช้ในช่วงน้ำท่วม บางครั้งไม่ได้มีการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะบริเวณปากขวดและฝาขวด อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคจากการสัมผัสกับมือและปากที่มีการดื่มน้ำจากขวดโดยตรงได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผลการทดลองยืนยันว่าขวดพลาสติกหรือขวดเพทปลอดภัยไม่มีสารเคมีปนเปื้อน แต่การนำกลับมาใช้ใหม่ต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาด ต้องล้างขวดให้สะอาด ทั้งด้านในและด้านนอก และเมื่อใช้ไปนาน ๆ ต้องหมั่นสังเกตว่าสีของขวดเปลี่ยนไปหรือไม่ หากมีคราบสีเหลือง มีสีขุ่น ขวดไม่ใสเหมือนเดิม หรือขวดบุบ มีรอยร้าวหรือแตกให้ทิ้งไม่ควรนำมาใช้ใหม่
อย่างไรก็ตาม กรมวิทย์ฯ ได้ทำการวิจัยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในท้องตลาดอยู่เสมอ หากพบว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็จะมีการแจ้งข้อมูล ข่าวสารให้ผู้บริโภคทราบ และจะมีการประสานกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในด้านของการควบคุมทางกฎหมาย และการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังให้บริการตรวจสอบความปลอดภัยของภาชนะบรรจุอาหารแก่ประกอบการและผู้ที่สนใจด้วย
ด้านนายมงคล เจนจิตติกุล ผู้อำนวยการสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร (สคอ.)กรมวิทย์ฯ กล่าวว่า พลาสติกที่ใช้ทำขวดน้ำดื่ม ขนาดเล็กมีอยู่ 2 ชนิดหลัก ๆ คือ ขวดสีขาวขุ่น ทำจากพลาสติกชนิดพอลิเอทิลีน (Polyethylene) หรือ PE และขวดใสไม่มีสีทำจากพลาสติกชนิดพอลิเอทิลีน เทเรฟทาเลต (Poly Ethylene Terephthalate) หรือ ขวด PET ซึ่งปัจจุบันนี้นิยมใช้กันมากกว่าขวดแบบขาวขุ่น สำหรับขวดบรรจุน้ำชนิดเติม ซึ่งมีการบรรจุซ้ำจะเป็นขวดความจุประมาณ 20 ลิตร ขวดสีขาวขุ่นทำจากพลาสติกชนิด PP (พอลิพรอ พิลีน) และขวดใส สีฟ้าอ่อน หรือสีเขียวอ่อนทำจากพลาสติกชนิด PC (พอลิคาร์บอเนต) หรือพลาสติกชนิด PET ดังนั้น ขวดเหล่านี้ต้องล้างให้สะอาดก่อนนำมาใช้ใหม่ และขวดที่บรรจุน้ำควรเก็บในที่แสงสว่างส่องไม่ถึง เพื่อป้องกันการเจริญของตะไคร่น้ำ.-สำนักข่าวไทย
กรุงเทพฯ 30 ส.ค.- กรมวิทย์ฯ เตือนประชาชนหากนำขวดน้ำพลาสติกมาใช้ใหม่ต้องล้างทำความสะอาด หมั่นสังเกตว่าสีของขวดพลาสติก หากมีคราบสีเหลืองหรือมีสีขุ่น ขวดบุบ มีรอยร้าวหรือแตก ไม่ควรนำมาใช้ใหม่ เนื่องจากอาจมีสารเคมีในเนื้อพลาสติกหลุดลอกลงในน้ำดื่มได้ ขณะเดียวกันเป็นแหล่งสะสมและปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย
นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้มีฝนตกหนักในหลายจังหวัด ส่งผลให้เกิดน้ำท่วม ประชาชนได้รับความเดือดร้อน หากจำเป็นต้องนำขวดพลาสติกเปล่าที่ใช้แล้วมากักตุนน้ำไว้สำหรับดื่มและใช้ในช่วงน้ำท่วม บางครั้งไม่ได้มีการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะบริเวณปากขวดและฝาขวด อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคจากการสัมผัสกับมือและปากที่มีการดื่มน้ำจากขวดโดยตรงได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผลการทดลองยืนยันว่าขวดพลาสติกหรือขวดเพทปลอดภัยไม่มีสารเคมีปนเปื้อน แต่การนำกลับมาใช้ใหม่ต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาด ต้องล้างขวดให้สะอาด ทั้งด้านในและด้านนอก และเมื่อใช้ไปนาน ๆ ต้องหมั่นสังเกตว่าสีของขวดเปลี่ยนไปหรือไม่ หากมีคราบสีเหลือง มีสีขุ่น ขวดไม่ใสเหมือนเดิม หรือขวดบุบ มีรอยร้าวหรือแตกให้ทิ้งไม่ควรนำมาใช้ใหม่
อย่างไรก็ตาม กรมวิทย์ฯ ได้ทำการวิจัยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในท้องตลาดอยู่เสมอ หากพบว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็จะมีการแจ้งข้อมูล ข่าวสารให้ผู้บริโภคทราบ และจะมีการประสานกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในด้านของการควบคุมทางกฎหมาย และการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังให้บริการตรวจสอบความปลอดภัยของภาชนะบรรจุอาหารแก่ประกอบการและผู้ที่สนใจด้วย
ด้านนายมงคล เจนจิตติกุล ผู้อำนวยการสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร (สคอ.)กรมวิทย์ฯ กล่าวว่า พลาสติกที่ใช้ทำขวดน้ำดื่ม ขนาดเล็กมีอยู่ 2 ชนิดหลัก ๆ คือ ขวดสีขาวขุ่น ทำจากพลาสติกชนิดพอลิเอทิลีน (Polyethylene) หรือ PE และขวดใสไม่มีสีทำจากพลาสติกชนิดพอลิเอทิลีน เทเรฟทาเลต (Poly Ethylene Terephthalate) หรือ ขวด PET ซึ่งปัจจุบันนี้นิยมใช้กันมากกว่าขวดแบบขาวขุ่น สำหรับขวดบรรจุน้ำชนิดเติม ซึ่งมีการบรรจุซ้ำจะเป็นขวดความจุประมาณ 20 ลิตร ขวดสีขาวขุ่นทำจากพลาสติกชนิด PP (พอลิพรอ พิลีน) และขวดใส สีฟ้าอ่อน หรือสีเขียวอ่อนทำจากพลาสติกชนิด PC (พอลิคาร์บอเนต) หรือพลาสติกชนิด PET ดังนั้น ขวดเหล่านี้ต้องล้างให้สะอาดก่อนนำมาใช้ใหม่ และขวดที่บรรจุน้ำควรเก็บในที่แสงสว่างส่องไม่ถึง เพื่อป้องกันการเจริญของตะไคร่น้ำ.-สำนักข่าวไทย
วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
สารเคมีในเครื่องสำอาง
สารเคมีทั่วไป
Lanolin : ลาโนลิน สารสกัดที่ได้จากธรรมชาติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวป้องกันการแห้งตึง แต่การวิจัยบางชิ้นพบว่าอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและเป็นสาเหตุหนึ่งของการอุดตันและการก่อตัวของสิว
Mineral Oil : มิเนอรัลออยล์ เป็นผลผลิตที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมใช้เป็นสารทำความหล่อลื่นในเครื่องสำอาง พบได้ในโลชั่น มอยเจอร์ไรเซอร์ ครีมล้างหน้า อายครีม ฯลฯ ซึ่งมีโมเลกุลค่อนข้างใหญ่ จึงไม่สามารถซึมลงไปใต้ผิวหนังอย่างที่เคยคิดกันแม้จะไม่ก่อให้เกิดโทษร้ายแรงแต่ก็ไม่มีประโยชน์ต่อผิว
Glycerin : กลีเซอรีน เป็นสารที่เกิดจากการเติมด่างลงไปในไขมันใช้มากในการทำสบู่และเครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว รวมถึงน้ำยาบ้วนปากและยาสีฟันโดยได้รับการรับรองว่าปลอดภัยไม่ทำให้ระคายเคือง
Propylene Glycol : โพรไพลีน ไกลคอล นิยมใช้กันมากในเครื่องสำอางดูแลผิวที่ต้องการคุณสมบัติกักเก็บความชุ่มชื้น และซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ดีปลอดภัยต่อผิว
Dimethicone : ไดเมธิโคน คือน้ำมันซิลิโคนชนิดหนึ่งใช้เป็นเบสของผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นครีมต่าง ๆ ไม่เป็นอันตรายต่อผิว
Polysorbate : โพลีซอร์เบต มักพบในเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย เพราะเป็นสื่อผสมให้น้ำสามารถเข้ากับน้ำมันหอมระเหยได้ค่อนข้างปลอดภัยต่อคน
Cocamidopropyl Betaine : โคคามิโดโพรพิล บีเทน เป็นสารที่ได้จากน้ำมันมะพร้าวมักใช้ผสมในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่าง ๆ เช่น สบู่ แชมพู คอนดิชั่นเนอร์ หรือโฟมล้างหน้า ช่วยในการลดแรงตึงผิวของน้ำและทำให้เกิดฟอง แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้
Butylene Glycol : บิวไทลีน ไกลคอล เป็นสารที่ทำหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื้นรักษากลิ่นและความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ให้คงรูป มักเป็นส่วนผสมของโลชั่นต่าง ๆ ไม่เป็นอันตรายต่อผิว
Phenoxyethanol : ฟีน็อกซ์ซีธานอล พบได้ในเครื่องสำอางที่มีน้ำหอมผสมอยู่เพราะมีคุณสมบัติทำให้น้ำหอมคงตัว ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้แต่ต้องไม่ใช้ในปริมาณที่เข้มข้นไม่เช่นนั้นอาจเกิดอาการแพ้ได้
Sodium Chloride : โซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือทะเลไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด แต่หากใช้ในปริมาณที่เข้มข้นเกินไปก็ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้พบในน้ำยาบ้วนปาก สบู่ อายครีม เกลืออาบน้ำ เป็นต้น
Stearic Acid : กรดสเตียริก เป็นสารที่เกิดไขมันและน้ำมันจากสัตว์จึงค่อนข้างปลอดภัย มักใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย โลชั่น ครีมรองพื้น และสบู่ มีคุณสมบัติช่วยสร้างความนุ่มนวล ลื่น เป็นประกายแวววาว
สารเคมีที่ควรระวัง
Hydroquinone : ไฮโดรควิโนน สารนี้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางทาฝ้าหาใช้ในระยะยาวจะก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวอย่างมาก เช่น แพ้ ระคายเคือง และทำให้ผิวหน้าดำคล้ำกลายเป็นผ้าถาวร
Sodium Laureth Sulfate : โซเดียมลอริธซัลเฟต พบได้ในโฟมล้างหน้า ยาสีฟัน และในแชมพูมากที่สุด(ประมาณ 90 % ของแชมพูท้องตลาด) อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน ดังนั้นหากมีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง
Formaldehyde : ฟอร์มาลดีไฮด์ ช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราต่าง ๆ พบมากในยาทาเล็บ สบู่ และแชมพู หากสูดดมมาก ๆ อาจเป็นอันตรายต่อระบบหายใจได้
S. D. Alcohol : เอส. ดี. แอลกอฮอล์ ใช้ในเครื่องสำอางประเภทรักษาความมันและสิวอุดตัน โดยจะเป็นตัวนำน้ำมันและสิ่งสกปรกออกไปรวมทั้งน้ำหล่อเลี้ยงบนชั้นผิวด้วย จึงทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและแห้งตึงได้
Sodium Hydroxide : โซเดียมไฮดรอกไซด์ ใช้เป็นส่วนประกอบหลักใน สบู่ แชมพู น้ำยายืดผม ซึ่งเป็นสารที่มีความเป็นด่างสูง จึงอาจทำให้ผิวหรือหนังศีรษะแห้งลอกหรือเกิดการอักเสบได้
Talc/Talcum : แป้งทัลส์หรือทัลคัมที่พบได้ทั่วไปในผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่น แป้งอัดแข็ง บลัชออน อายแชโดว์ หรือสเปรย์ระงับกลิ่นกาย ให้ความรู้สึกลื่น นุ่มนวล แต่ไม่ควรใช้กับส่วนเล้นลับเพราะมีการวิจัยพบว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูกได้มากกว่าปรกติถึง 3 เท่า
Steroid : สเตียรอยด์ สารอันตรายที่ก่อให้เกิดความผิดปรกติของผิวหนังได้ เนื่องจากสเตียรอยด์เป็นสารอันตรายผู้ผลิตจึงมักไม่ระบุชื่อลงไปในฉลาก ดังนั้นจึงควรเลือกเครื่องสำอางที่น่าเชื่อถือมีเลขทะเบียนอนุญาตจำหน่ายหรือตราที่รับรองว่าผ่านการตรวจสอบแล้ว
เคล็ดลับการเลือกและการเก็บรักษา
ส่วนผสมปลอดภัย บรรจุภัณฑ์ดูดี แหล่งที่มาน่าเชื่อถือ รายละเอียดสินค้าชัดเจน มีอย. รับรอง
ทดสอบว่าไม่แพ้
สำหรับการเก็บรักษาเครื่องสำอางให้สามารถใช้งานได้นานที่สุดและไม่เสื่อมสภาพไปก่อนอายุไขอันควรคือ ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต สิ่งสำคัญอยู่ที่การรักษาความสะอาดและอุณหภูมิอันเหมาะสมไม่ควรเก็บในห้องที่อากาศร้อนอบอ้าว ควรเก็บไว้ในที่ที่แดดส่องไม่ถึงบางคนชอบนำไปเก็บในตู้เย็น (ชั้นที่ไม่เย็นจัดนัก) ซึ่งก็ช่วยรักษาสภาพของเครื่องสำอางไว้ได้นาน
ไม่ควรนำมือเข้าไปควักหรือป้ายเครื่องสำอางออกมาจากขวดควรเทหรือใช้ช้อนสำหรับตักเล็ก ๆ ตักเครื่องสำอางออกมา หลังใช้ทุกครั้งควรปิดฝาให้สนิทเพื่อป้องกันการระเหยของส่วนผสมที่เป็นน้ำในเครื่องสำอาง และการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำให้เครื่องสำอางบูดเสียได้ หากเครื่องสำอางมีกลิ่นหรือสีเปลี่ยนไปส่วนผสมแยกตัวออกจากกันเกิดฟองขึ้นหรือจับตัวเป็นก้อนแข็ง ฯลฯ แสดงว่าเสียใช้ไม่ได้แล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
สารเคมีในอาหาร
สารเคมีอันตรายที่ปนเปื้อนในอาหาร
บอแรกซ์ (Borax) บอแรกซ์ เป็นสารเคมีที่เป็นเกลือของสารประกอบโบรอน ที่มีชื่อเรียกทางเคมีว่า โซเดียม บอเรต ( sodium borate ) โซเดียมเตตรา บอเรต ( sodium tetraborate ) โซเดียม ไบบอเรต ( sodium biborate ) ฯลฯ หรือในทางการค้า อาจเรียกชื่อว่า น้ำประสานทอง ผงกรอบ ผงเนื้อนิ่ม สารข้าวตอก ผงกันบูด และเม่งแซ หรือเพ่งแซ มีสูตรโครงสร้างทั่วไปทางเคมีคือ Na 2B 4O 7 10H 2O คุณสมบัติของบอแรกซ์
เป็นผลึกรูปโมโนคลินิก ( monoclinic ) ไม่มีกลิ่น สิขาวบริสุทธิ์ ความถ่วงจำเพาะ (specific gravity ) = 1.73 จุดหลอมเหลว 71 องศาเซลเซียส จุดเดือด 320 องศาเซลเซียส ไม่ติดไฟ มีกลิ่นฉุนเมื่อละลายในน้ำร้อน ไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยาเคมี ละลายในน้ำเย็นได้สารละลายใส ความสามารถในการละลายน้ำ 5.1 กรัม/ 100มิลลิลิตร ที่ 20 องศาเซลเซียส สารละลายมี PH เป็นด่าง ประมาณ 9.5 ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการซักล้างและทำความสะอาด นอกจากนั้นยังช่วยยับยั้งขบวนการเมตาโบลิซึมของสารอินทรีย์หลายชนิด จึงนิยมใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำยาทำความสะอาด น้ำยาฆ่าเชื้อโรค น้ำยาฟอกขาว คลอรีน น้ำยาซักรีด ยาฆ่าแมลงพวกมด แมลงสาบ ยาฆ่าเชื้อราและยาปราบวัชพืช นอกจากนั้นยังนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น ยาล้างตา น้ำยาบ้วนปาก และอื่นๆ เนื่องจากมีสรพคุณฆ่าเชื้อโรคแลแบคทีเรียอย่างอ่อน ปัจจุบันจึงมีการแอบนำเอาบอ แรกซ์มาใช้เป็นสารกันเสียในกรรมวิธีและส่วนผสมของน้ำยาเตมีในงานหลายชนิด กาว สำหรับงานวาดและงานปั้น โคลนแต่งสีแต่งกลิ่นในงานศิลปะเด็ก การเก็บรักษาดอกไม้สด และผลิตดอกไม้แห้ง รมทั้งการปรับสภาพ pH หลังการ ดองสต้าฟสัตว์ให้คงสภาพเหมือนมีชีวิต บอ แรกซ์มีความเป็นพิษต่อเซลล์ สามารถรวมตัวกับคาร์โบไฮเดรต ไกลโคโปรตีน หรือไกล โคไลปิด ซึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวเซลล์ทุกชนิด หากมีอาการแพ้จะทำให้ผิวหนังแห้ง มีผื่นตามตัว ผิวหนังเป็นจ้ำ คล้ายห้อเลือด หมดสติและตายได้
กลไกการทำงานและผลของบอแรกซ์
จะทำให้ระดับฟอสฟอรัสในสมองและตับลดต่ำลง มีผลต่อการยับยั้ง oxidoreductase enzyme และ serine protease enzyme เพิ่มความเข้มข้นของ RNA ในตับและสมอง มีผลต่อระบบประสาท่าวนกกลาง ตับ ไต และเยื่อบุอวัยวะย่อยอาหาร ทำให้ความดันลดลง การทำงานของกล้ามเนื้อไม่ประสานกัน สมองตื้อ มีอาการบวมช้ำ ฮีโมโกลบินลดต่ำลง ไตเสื่อม และสมรรถทางเพศลดต่ำลง ผิวหนังแดง ไตพิการ และเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เสียชีวิตในผู้ใหญ่จากการได้รับสารบอ แรกซ์ 5- 20 กรัม และเด็กทารกหากได้รับสารบอ แรกซ์น้อยกว่า 5 กรัม ก็ช็อค หรือตายได้ การนำบอแรกซ์มาใช้ในอาหาร
เนื่องจากสารบอ แรกซ์ ทำให้อาหารมีลักษณะ หยุ่นกรอบ และมีคุณสมบัติเป็นวัตถุกันเสียอยู่ด้วย จึงมีการนำมาใช้ผลิตอาหารประเภทลูกชิ้น หมูยอ ทอดมัน ไส้กรอก แป้งกรุบ ลอดช่อง ผงวุ้น ทับทิมกรอบ มะม่วงดอง ผักผลไม้ดอง และยังพบว่ามีการนำเอาบอ แรกซ์ไปละลายในน้ำแล้วทาที่เนื้อหมู เนื้อวัว เพื่อให้ดูสด ไม่บูดเน่าก่อนเวลา นอกจากนี้ยังพบว่ามีการปลอมปนในผงชูรส เนื่องจากมีลักษณะเป็นผลึกเล็กๆเละเป็น ผงซึ่มมีสีขาวคล้ายเศษของผงชูรส ขนาดของบอแรกซ์ที่เป็นอันตราย
- ขนาดที่ทำให้เกิดพิษ 5 – 10 กรัม ในผู้ใหญ่
- ขนาดที่ทำให้ตายได้ 15 – 30 กรัม ในผู้ใหญ่
- ขนาดที่ทำให้เกิดพิษและตาย 4.5 – 1.4 กรัมในเด็ก ซึ่งการตายจะเกิดขึ้นภายใน 2 – 3 วัน
การขจัดพิษ
- จากกระเพาะอาหาร โดยการทำให้คนไข้อาเจียน ถ้าไม่อยู่ในภาวะโคม่า เคยมีอาการชักหรือมีความผิดแกติของการขย้อน ถ้าคนไข้โคม่าต้องทำการล้วงท้อง การใช้ Activated charcoal ในการกำจัดพิษ ไม่เกิดประโยชน์ และไม่ได้ช่วยดูดซับสารบอ แรกซ์เท่าที่ควร อาจใช้ยาระบายช่วยกำจักกรด บอร์ริค ที่ค้างอยู่ในทางเดินอาหาร เช่น ใช้ แมกนีเซียม ซัลเฟต 30 กรัม ในผู้ใหญ่ และ 250 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมในเด็ก.
- จากผิวหนัง โดยการล้างบริเวณผิวหนังที่ถูกสารหลายๆครั้ง ด้วยน้ำสะอาด และสบู่อ่อนๆ
- จากดวงตา ใช้น้ำยาล้างตาอย่างน้อย 20 นาที หากยังระคายเคือง และเจ็บปวดให้รีบพบแพทย์
สารละลาย Formaldehyde หรือ Formalin หรือที่รู้จักกันดีในนาม น้ำยาดองศพ ประกอบด้วยก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ประมาณร้อยละ 37 – 40 โดยน้ำหนักในน้ำ และมีเมธานอลปนอยู่ด้วยปริมาณร้อยละ 10 – 15 ลักษณะทั่วไปเป็นของเหลวใส ไม่มีสี แต่กลิ่นฉุนเฉพาะตัวสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และทางการแพทย์ดังนี้
- ด้านอุตสาหกรรม : ใช้ผลิตภัณฑ์ พลาสติก สีย้อม สิ่งทอ และรักษาผ้าไม่ให้ยับหรือ ย่น
- ด้านการแพทย์ : ใช้ในการเก็บรักษา Anatomical specimens ดองศพ เนื่องจากช่วยให้เซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ คงความสดอยู่นาน ใช้ทำความสะอาดห้องผู้ป่วย เครื่องมือแพทย์
- ด้านเกษตรกรรม : ใช้ป้องกันและกำจัดโรคพืชที่เกิดจากจุลินท รีย์ ป้องกันผลผลิตทางการเกษตรระหว่างขนส่งและเก็บรักษา เช่น ที่ความเข้มข้น 0.004% จะช่วยป้องกันเชื้อราในข้าว โอ๊ต, ข้าวสำลี และใช้ป้องกันแมลงในธัญพืชหลักการเก็บเกี่ยว
ฟอร์มาลินเป็นสารก่อมะเร็ง หากได้รับจากการบริโภคอาหารที่สารดังกล่าวตกค้างอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ปวดท้องรุนแรง อาเจียน ท้องเสีย หมดสติและเสียชีวิต นอกจากนั้นยังทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง ตาและจมูก
สีผสมอาหาร
อันตรายที่แผงมากับความงามสะดุดตานี้ อาจจะทำให้ท่านมีสุขภาพลดลง โดยปกติอาหารที่ใส่สีไม่ได้หมายความว่าจะมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้น เพราะจุดประสงค์เพียงต้องการให้สะดุดตาผู้ซื้อเท่านั้น และสีที่ใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นสีที่สังเคราะห์ซึ่งมีคุณสมบัตินานกว่าสีชนิดที่สกัดมาจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ จุดอันตรายจะอยู่ที่การนำสีชนิดที่ไม่ใช่สีผสมอาหารมาใช้ และโดยมากมักจะเป็นพวกสีย้อมผ้า ผู้บริโภคจึงมีโอกาสที่จะได้รับโลหะหนัก เช่น สารแค ดเมี่ยม ปรอท และสารตะกั่ว ที่เจือปนมากับสีชนิดนี้ด้วย
ขนมใส่สี
อาจเกิดจากสีย้อมผ้า หรือสีย้อมกระดาษ การเลือกซื้อควรเลือกซื้อขนมที่มีสีอ่อนๆไม่ฉูดฉาดหรือมีสีเข้มเกินไป เช่น สีแดงจากแค รอทหรือถั่วแดง สีน้ำเงินจากอัญชัน สีดำจากถั่วดำหรือจากมะพร้าวเผาไฟ ขนมที่บรรจุอยู่ในภาชนะที่ใส่สารป้องกันความชื้น จะต้องมีเครื่องหมาย อย. รับรองคุณภาพ
สีย้อมผ้า
อาหารที่เสี่ยง ได้แก่ ปลาแห้ง กุ้งแห้งย้อมสี ลูกชิ้นใส่สี กะปิใส่สี แหนม เนื้อเค็มใส่สี ไก่สดย้อมสี ขนมเค้กใส่สี ลูกชุบ ข้าวเกรียบใส่สี น้ำหวานใส่สี ผลไม้ดองหรือแช่อิ่ม
อันตรายต่อผู้บริโภค สีย้อมผ้าจะมีโลหะในปริมาณสูง เช่น สารตะกั่ว สารหนู โดยสารตะกั่วจะมีพิษต่อระบบประสาท อาจทำให้เป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้ ส่วนสารหนู จะสะสมอยู่ในกล้ามเนื้อกระดูก และผิวหนัง ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดโลหิตจาง นอกจากนี้สารบางชนิดยังมีผลต่อการตกค้างของเม็ดเลือดแดง การได้รับสีย้อมผ้าในปริมาณน้อย แต่เป็นระยะเวลานาน อาจมีผลทำให้เกิดเนื้องอกหรือมะเร็งที่อวัยวะในระบบทางเดินอาหารและกระเพาะปัสสาวะได้
การป้องกันเพื่อความปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่สี หรือย้อมสี
- บริโภคอาหารที่ใช้สีจากธรรมชาติ อาทิ สีเขียวจากใบเตย
- หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรบริโภคอาหารซึ่งใส่สีสังเคราะห์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ผสมอาหารเท่านั้น
สารฟอกขาว ( sodium hydrosulfite) คือสารเคมีที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสีของอาหารไม่ให้เกิดสีน้ำตาลเมื่ออาหารถูกความร้อนหรือถูกหั่นแล้ววางไว้ให้สัมผัสอากาศ และยับยั้งการเจริญเติบโตของยีสต์ รา และแบคทีเรีย
การนำไปใช้ สารฟอกขาวสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารและอื่นๆ ดังนี้
-อุตสาหกรรมอาหาร ใช้เป็นวัตถุกันเสียในลูกกวาด วุ้นเส้น ไวน์ เบียร์
-อุตสาหกรรมอื่นๆ ใช้ผสมในน้ำยาอัดรูป ฟอกสีผ้า กระดาษ สบู่ ย้อมหนัง
ผลกระทบต่อสุขภาพ
เมื่อร่างกายได้รับสารฟอกขาวเข้าไปในปริมาณมากจะทำลายวิตามินบี 1 ทำให้เกิดอาการหายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง แน่นหน้าอก ผิวหนังอักเสบ ในรายที่แพ้อาจเกิดลมพิษ ช็อค หมดสติ และเสียชีวิตได้
คำแนะนำในการเลือกซื้อของผู้บริโภค
สารฟอกขาวพบมากในอาหารที่มีสีขาวนวลผิดปกติ เช่น ขิงซอย ขิงดอง ถั่วงอก ทุเรียนกวน ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรเลือกซื้ออาหารที่มีสีใกล้เคียงธรรมชาติ และควรล้างวัตถุดิบก่อนที่จะนำมาปรุงอาหารด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้ง หรือ การปรุงอาหารให้สุกจะช่วยลดสารฟอกขาวที่ตกค้างอยู่ได้ ที่มา:
http://arts.kmutt.ac.th/ssc210/Group
วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
การปลูกผัก Hydroponics
“ การปลูกผัก Hydroponicsทานเอง ที่บ้าน” ลงทุนน้อย หารายได้เสริม
ความสับสนวุ่นวายในทุกวันนี้ทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม บ้างก็ป่วยต้องไปหาหมอยา แต่ถ้าหากว่าเราดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีจากภายใน ร่างกายของเราก็จะแข็งแรงพร้อมรับแรงปะทะ ความวุ่นวาย ต่างๆได้อย่างสบาย
การเลือกกินอาหารก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้ร่างกายของเรามีความแข็งแรง โดยเฉพาะการทานพืชผักต่างๆที่มีเส้นใย เนื่องจากระบบลำไส้ของเราแทบจะถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของระบบภายใน ดังนั้นการรับประทานอาหารอะไรก็ตามที่มีเส้นใยสูงจะทำให้การย่อยอาหารของเราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลโดยรวมมาสู่ภายนอกคือหน้าตาสดใส มีความสุขนั้นเอง
ผมเป็นคนหนึ่งที่ทานอาหารได้ทุกอย่าง แต่หลายปีแล้วที่งดทานเนื้อวัว ดังนั้นการทานผักทุกชนิดหรือผักสลัดจึงเป็นอีกเมนูหนึ่งที่ต้องมีทุกมื้อครับ
ผักสลัดก็มีหลายชนิดมากๆ เราสามารถหาซื้อได้ตามห้างหรือซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ราคาก็พอประมาณ ถึงขั้นขอคิดดูก่อน และเรื่องราคานี้แหละที่ทำให้ผมต้องคิดเล่นๆว่า “แล้วทำไม เราไม่ปลูกทานเองหล่ะ”
เมื่อหาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ตก็พบว่ามีหลายๆคนได้ปลูกเองเหมือนกัน แต่วิธีที่ผมสนใจคือการปลูกแบบพืชไร้ดิน ปลอดสารพิษ หรือการปลูกด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ ( Hydroponics) การปลูกวิธีนี้ทำให้ผมมีผักทานอย่างน้อยๆ สัปดาห์ละ2มื้อแน่ๆ และจะทานได้ตลอดปีครับ
สิ่งที่ต้องจัดเตรียมเบื้องต้นคือ
• พื้นที่ ขนาด ขั้นต่ำ 1 .5 เมตร x 1.5 เมตร (ขนาดเล็กสุด)
• พื้นที่มีแสงแดด อย่าให้แดดจัดมาก ถ้ามีแดดจัดมากให้คลุมใยกรองแสง
• มีน้ำสะอาด ใช้น้ำประปาได้ยิ่งดี เพราะจะคุมคุณภาพน้ำได้ง่าย
• ผมใช้ชุดปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ( Hydroponics) ของ ACK Hydro Fram ขนาด 2 เมตร
ผมได้คุยปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่ ACK Hydro Farm และพบว่าการปลูกผักทานเองนี้ไม่ใช้เรื่องยากเลยครับ การดูแลก็ง่ายมาก ทั้งๆที่ผมเป็นนักเดินทาง ที่ต้องไปโน้นไปนี้ตลอดเวลาก็สามารถวางแผนการปลูกและการดูแลได้ ตลอดเวลาที่เป็นลูกค้านั้น เราสามารถสอบถามหรือปรึกษาที่ ACK Hydro Farm ได้ตลอดเวลาโดยทางบริษัทฯเค้าจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและเป็นกันเองมากๆครับ
ซึ่งหลายคนคงจะคิดว่า การปลูกพืชแบบนี้ เป็นเรื่องยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ตอนนี้คงต้องลบความคิดเก่า ๆ เหล่านี้ออกไปก่อน เพราะด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้สะดวกสบายมากขึ้น ในการที่จะปลูกผักไว้รับประทานเอง เพื่อสุขภาพที่ดีทุกวัน ที่สำคัญวิธีการปลูกก็ง่ายแสนง่ายด้วยชุดปลูกระบบไฮโดรโปนิกส์ สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของสถานที่ และความต้องการของเราเอง
http://www.muangthai.com/thaidata/
ความสับสนวุ่นวายในทุกวันนี้ทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม บ้างก็ป่วยต้องไปหาหมอยา แต่ถ้าหากว่าเราดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีจากภายใน ร่างกายของเราก็จะแข็งแรงพร้อมรับแรงปะทะ ความวุ่นวาย ต่างๆได้อย่างสบาย
การเลือกกินอาหารก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้ร่างกายของเรามีความแข็งแรง โดยเฉพาะการทานพืชผักต่างๆที่มีเส้นใย เนื่องจากระบบลำไส้ของเราแทบจะถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของระบบภายใน ดังนั้นการรับประทานอาหารอะไรก็ตามที่มีเส้นใยสูงจะทำให้การย่อยอาหารของเราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลโดยรวมมาสู่ภายนอกคือหน้าตาสดใส มีความสุขนั้นเอง
ผมเป็นคนหนึ่งที่ทานอาหารได้ทุกอย่าง แต่หลายปีแล้วที่งดทานเนื้อวัว ดังนั้นการทานผักทุกชนิดหรือผักสลัดจึงเป็นอีกเมนูหนึ่งที่ต้องมีทุกมื้อครับ
ผักสลัดก็มีหลายชนิดมากๆ เราสามารถหาซื้อได้ตามห้างหรือซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ราคาก็พอประมาณ ถึงขั้นขอคิดดูก่อน และเรื่องราคานี้แหละที่ทำให้ผมต้องคิดเล่นๆว่า “แล้วทำไม เราไม่ปลูกทานเองหล่ะ”
เมื่อหาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ตก็พบว่ามีหลายๆคนได้ปลูกเองเหมือนกัน แต่วิธีที่ผมสนใจคือการปลูกแบบพืชไร้ดิน ปลอดสารพิษ หรือการปลูกด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ ( Hydroponics) การปลูกวิธีนี้ทำให้ผมมีผักทานอย่างน้อยๆ สัปดาห์ละ2มื้อแน่ๆ และจะทานได้ตลอดปีครับ
สิ่งที่ต้องจัดเตรียมเบื้องต้นคือ
• พื้นที่ ขนาด ขั้นต่ำ 1 .5 เมตร x 1.5 เมตร (ขนาดเล็กสุด)
• พื้นที่มีแสงแดด อย่าให้แดดจัดมาก ถ้ามีแดดจัดมากให้คลุมใยกรองแสง
• มีน้ำสะอาด ใช้น้ำประปาได้ยิ่งดี เพราะจะคุมคุณภาพน้ำได้ง่าย
• ผมใช้ชุดปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ( Hydroponics) ของ ACK Hydro Fram ขนาด 2 เมตร
ผมได้คุยปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่ ACK Hydro Farm และพบว่าการปลูกผักทานเองนี้ไม่ใช้เรื่องยากเลยครับ การดูแลก็ง่ายมาก ทั้งๆที่ผมเป็นนักเดินทาง ที่ต้องไปโน้นไปนี้ตลอดเวลาก็สามารถวางแผนการปลูกและการดูแลได้ ตลอดเวลาที่เป็นลูกค้านั้น เราสามารถสอบถามหรือปรึกษาที่ ACK Hydro Farm ได้ตลอดเวลาโดยทางบริษัทฯเค้าจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและเป็นกันเองมากๆครับ
การปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ ( Hydroponics)
หมายถึง การปลูกพืชลงบนสารละลายธาตุอาหารพืช โดยให้รากพืชสัมผัสกับสารละลายโดยตรง จุดเด่นของระบบการปลูกแบบนี้มีทั้งในด้าน มาตรฐาน, ปริมาณ และคุณภาพ ของผลผลิต ในส่วนของมาตรฐานนั้นดีแน่นอนเนื่องจากเราสามารถคัดเลือกต้นกล้าที่ดีไปปลูก ได้ ด้านปริมาณเราก็สามารถผลิตได้มากเนื่องจากใช้เวลาปลูกน้อยกว่าการปลูกในดิน จำนวนรอบการผลิตรวมต่อปีจะมากขึ้นถ้าเทียบในระยะเวลาที่เท่ากันซึ่งหลายคนคงจะคิดว่า การปลูกพืชแบบนี้ เป็นเรื่องยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ตอนนี้คงต้องลบความคิดเก่า ๆ เหล่านี้ออกไปก่อน เพราะด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้สะดวกสบายมากขึ้น ในการที่จะปลูกผักไว้รับประทานเอง เพื่อสุขภาพที่ดีทุกวัน ที่สำคัญวิธีการปลูกก็ง่ายแสนง่ายด้วยชุดปลูกระบบไฮโดรโปนิกส์ สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของสถานที่ และความต้องการของเราเอง
http://www.muangthai.com/thaidata/
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554
แบคทีเรียอีโคไล
แบคทีเรีย อีโคไล คืออะไร?
แบคทีเรียชนิดนี้ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Escherichia coli (เอสเชอริเชีย โคไล) หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า E. coli(อี.โคไล) เป็น แบคทีเรียที่มีอยู่แล้วในร่างกายมนุษย์และสัตว์ จะพบได้ในลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการท้องเสียบ่อย ๆ อุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ แต่จะมีอาการไม่รุนแรง เพราะคนเรามีภูมิต้านทานโรคอยู่บ้าง และปกติเราสามารถพบเชื้อดังกล่าวได้ในอุจจาระอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่มีอาการอะไร
ทั้งนี้ แบคทีเรียอีโคไลนั้นมีอยู่หลายชนิด แต่เชื้อแบคทีเรียอีโคไลที่ระบาดอยู่ในทวีปยุโรปนั้น เป็นเชื้อแบคทีเรียอีโคไล ชนิด โอ104 ผลิตสารพิษชิก้า (STEC) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดที่มีความรุนแรงมาก และเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิ 35-37 องศาเซลเซียส
แบคทีเรียอีโคไล แพร่เข้าสู่ร่างกายคนได้อย่างไร?
เชื้ออีโคไลจะเข้าสู่ร่างกายคนได้จากการรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ ซึ่งส่วนมากจะพบในอาหารที่ปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ
เมื่อติดเชื้อ แบคทีเรียอีโคไล แล้ว จะมีอาการอย่างไร?
เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการท้องร่วงเล็กน้อย จนกระทั่งรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีอาการปวดท้อง ถ่ายเหลว อาจจมีเลือดปน มีไข้ อาเจียน ถ้า หากไม่หายภายใน 10 วัน ควรไปพบแพทย์เป็นการด่วน ไม่เช่นนั้นผู้ป่วยจะเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และไตวาย อาจจะทำให้เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้ผู้ป่วยไม่ควรรับประทานยาระงับการถ่ายอุจจาระ เพราะยาประเภทนี้จะทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
การป้องกันและรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย อีโคไล แต่ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวดท้องได้ในเบื้องต้น และควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดในกลุ่มสเตอรอยด์ เช่น ยาแอสไพริน เพราะจะยาตัวนี้จะไปทำลายไตของผู้ป่วยสำหรับวิธีป้องกันเชื้อ แบคทีเรียอีโคไล ในเบื้องต้น คือ
1. รับประทานอาหารที่ปรุงสุก และถูกสุขลักษณะ2. ควรเก็บอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไว้ในอุณหภูมิต่ำ
3. สำหรับผักสด ควรล้างน้ำให้สะอาด โดยการปล่อยน้ำไหลผ่านผักประมาณ 2 นาที
4. ในการประกอบอาหารควรปรุงให้สุกในระดับอุณหภูมิ 71 องศาเซลเซียสขึ้นไป
5. ยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมืออยู่เสมอ
6. เมื่อมีอาการท้องเสียขั้นรุนแรง ควรไปพบแพทย์โดยด่วน และอย่ารับประทานยาระงับถ่ายอุจจาระ
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
สารเคมีในชีวิตประจำวัน
ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับสารหลายชนิด ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน สารที่ใช้ในชีวิตประจำวันจะมีสารเคมีเป็นองค์ประกอบ ซึ่งสามารถจำแนกเป็นสารสังเคราะห์และสารธรรมชาติ เช่น สารปรุงรสอาหาร สารแต่งสีอาหาร สารทำความสะอาด สารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช เป็นต้น ในการจำแนกสารเคมีเป็นพวกๆ นั้นเราใช้วัตถุประสงค์ในการใช้เป็นเกณฑ์การจำแนก ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. สารปรุงแต่งอาหาร
1.1 ความหมายสารปรุงแต่งอาหาร
สารปรุงแต่งอาหาร หมายถึง สารปรุงรสอาหารใช้ใส่ในอาหารเพื่อทำให้อาหารมีรสดีขึ้น เช่น น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ และให้รสชาติต่างๆ เช่น
- น้ำตาล ให้รสหวาน
- เกลือ น้ำปลา ให้รสเค็ม
- น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยว
1.2 ประเภทของสารปรุงแต่งอาหาร แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำส้มสายชู น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสมะเขือเทศ
เป็นต้น
2. ได้จากธรรมชาติ เช่น เกลือ น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก อัญชัน เป็นต้น
2. เครื่องดื่ม
เครื่องดื่ม หมายถึง สิ่งที่มนุษย์จัดเตรียมสำหรับดื่ม และมักจะมี น้ำ เป็นส่วนประกอบหลัก
บางประเภทได้คุณค่าทางโภชนาการ บางประเภทดื่มแล้วไปกระตุ้นระบบประสาท และบาง
ประเภทดื่มเพื่อดับกระหาย แบ่งออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ น้ำดื่มสะอาด น้ำผลไม้ นม น้ำอัดลม
เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ชาและกาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
1) น้ำดื่มสะอาด
น้ำดื่มสะอาด เป็นเครื่องดื่มที่ไม่สิ่งอื่นเจือปน เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ปัจจุบันน้ำดื่มสะอาดได้รับความนิยมมาก ผู้ผลิตมักจะบรรจุน้ำดื่มในขวดใสสะอาดแก้วที่สะอาด เหมาะสำหรับที่จะเสิร์ฟในร้านอาหาร หรือในงานเลี้ยงต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักส่วนใหญ่มักจะเลือกเครื่องดื่มชนิดนี้แทนเครื่องดื่มที่มีรสหวานอื่นๆ
2) น้ำผลไม้
น้ำผลไม้เป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากอย่างหนึ่ง และต้องเป็นน้ำผลไม้ที่สดๆ จึงจะได้คุณค่ามาก ผู้ผลิตมักจะนำผลไม้ที่มีมากในฤดูกาลมาคั้นเอาแต่น้ำ นำมาเคี่ยวกับน้ำตาล หรือนำผลไม้สดมาปั่นผสมกับน้ำแข็ง น้ำเชื่อม จะได้รสชาติแปลกๆ หลายอย่าง
3. สารทำความสะอาด
3.1 ความหมายของสารทำความสะอาด
สารทำความสะอาด หมายถึง คุณสมบัติในการกำจัดความสกปรกต่างๆ ตลอดจนฆ่าเชื้อโรค
3.2 ประเภทของสารทำความสะอาด
แบ่งตามการเกิด ได้ 2 ประเภท คือ
1) ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำยาล้างจาน สบู่ก้อน สบู่เหลว แชมพูสระผม ผงซักฟอก
สารทำความสะอาดพื้นเป็นต้น
4. สารกำจัดแมลง และสารกำจัดศัตรูพืช
4.1 ความหมายของสารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช
สารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช หมายถึง สารเคมีที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ป้องกันการกำจัด
และควบคุมแมลงต่างๆ ไม่ให้มารบกวน มีทั้งชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดน้ำ
4.2 ประเภทของ สารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. ได้จากการสังเคราะห์ เช่น สารฆ่ายุง สารกำจัดแมลง เป็นต้น
2. ได้จากธรรมชาติ เช่น เปลือกมะนาว เปลือกมะกรูด เปลือกส้ม เป็นต้น
เครื่องสำอาง
5.1 ความหมายของเครื่องสำอาง
เครื่องสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบร่างกาย เพื่อใช้ทำความสะอาดเพื่อให้เกิดความสดชื่น ความสวยงาม และเพิ่มความมั่นใจ
5.2 ประเภทของเครื่องสำอาง แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ
1 ) สำหรับผม เช่น แชมพู ครีมนวด เจลแต่งผม ฯลฯ
2 ) สำหรับร่างกาย เช่น สบู่ ครีม และโลชั่นทาผิว ยาทาเล็บ น้ำยาดับกลิ่นตัว แป้งโรยตัว ฯลฯ
3 ) สำหรับใบหน้า เช่น ครีม โฟมล้างหน้า แป้งผัดหน้า ลิปสติก ดินสอเขียนคิ้วและดินสอเขียนขอบตา
4 ) น้ำหอม
5 ) เบ็ดเตล็ด เช่น ครีมโกนหนวด ผ้าอนามัย ยาสีฟัน ฯลฯ
1. สารปรุงแต่งอาหาร
1.1 ความหมายสารปรุงแต่งอาหาร
สารปรุงแต่งอาหาร หมายถึง สารปรุงรสอาหารใช้ใส่ในอาหารเพื่อทำให้อาหารมีรสดีขึ้น เช่น น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ และให้รสชาติต่างๆ เช่น
- น้ำตาล ให้รสหวาน
- เกลือ น้ำปลา ให้รสเค็ม
- น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยว
1.2 ประเภทของสารปรุงแต่งอาหาร แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำส้มสายชู น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสมะเขือเทศ
เป็นต้น
2. ได้จากธรรมชาติ เช่น เกลือ น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก อัญชัน เป็นต้น
2. เครื่องดื่ม
เครื่องดื่ม หมายถึง สิ่งที่มนุษย์จัดเตรียมสำหรับดื่ม และมักจะมี น้ำ เป็นส่วนประกอบหลัก
บางประเภทได้คุณค่าทางโภชนาการ บางประเภทดื่มแล้วไปกระตุ้นระบบประสาท และบาง
ประเภทดื่มเพื่อดับกระหาย แบ่งออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ น้ำดื่มสะอาด น้ำผลไม้ นม น้ำอัดลม
เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ชาและกาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
1) น้ำดื่มสะอาด
น้ำดื่มสะอาด เป็นเครื่องดื่มที่ไม่สิ่งอื่นเจือปน เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ปัจจุบันน้ำดื่มสะอาดได้รับความนิยมมาก ผู้ผลิตมักจะบรรจุน้ำดื่มในขวดใสสะอาดแก้วที่สะอาด เหมาะสำหรับที่จะเสิร์ฟในร้านอาหาร หรือในงานเลี้ยงต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักส่วนใหญ่มักจะเลือกเครื่องดื่มชนิดนี้แทนเครื่องดื่มที่มีรสหวานอื่นๆ
2) น้ำผลไม้
น้ำผลไม้เป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากอย่างหนึ่ง และต้องเป็นน้ำผลไม้ที่สดๆ จึงจะได้คุณค่ามาก ผู้ผลิตมักจะนำผลไม้ที่มีมากในฤดูกาลมาคั้นเอาแต่น้ำ นำมาเคี่ยวกับน้ำตาล หรือนำผลไม้สดมาปั่นผสมกับน้ำแข็ง น้ำเชื่อม จะได้รสชาติแปลกๆ หลายอย่าง
3. สารทำความสะอาด
3.1 ความหมายของสารทำความสะอาด
สารทำความสะอาด หมายถึง คุณสมบัติในการกำจัดความสกปรกต่างๆ ตลอดจนฆ่าเชื้อโรค
3.2 ประเภทของสารทำความสะอาด
แบ่งตามการเกิด ได้ 2 ประเภท คือ
1) ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำยาล้างจาน สบู่ก้อน สบู่เหลว แชมพูสระผม ผงซักฟอก
สารทำความสะอาดพื้นเป็นต้น
4. สารกำจัดแมลง และสารกำจัดศัตรูพืช
4.1 ความหมายของสารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช
สารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช หมายถึง สารเคมีที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ป้องกันการกำจัด
และควบคุมแมลงต่างๆ ไม่ให้มารบกวน มีทั้งชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดน้ำ
4.2 ประเภทของ สารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. ได้จากการสังเคราะห์ เช่น สารฆ่ายุง สารกำจัดแมลง เป็นต้น
2. ได้จากธรรมชาติ เช่น เปลือกมะนาว เปลือกมะกรูด เปลือกส้ม เป็นต้น
เครื่องสำอาง
5.1 ความหมายของเครื่องสำอาง
เครื่องสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบร่างกาย เพื่อใช้ทำความสะอาดเพื่อให้เกิดความสดชื่น ความสวยงาม และเพิ่มความมั่นใจ
5.2 ประเภทของเครื่องสำอาง แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ
1 ) สำหรับผม เช่น แชมพู ครีมนวด เจลแต่งผม ฯลฯ
2 ) สำหรับร่างกาย เช่น สบู่ ครีม และโลชั่นทาผิว ยาทาเล็บ น้ำยาดับกลิ่นตัว แป้งโรยตัว ฯลฯ
3 ) สำหรับใบหน้า เช่น ครีม โฟมล้างหน้า แป้งผัดหน้า ลิปสติก ดินสอเขียนคิ้วและดินสอเขียนขอบตา
4 ) น้ำหอม
5 ) เบ็ดเตล็ด เช่น ครีมโกนหนวด ผ้าอนามัย ยาสีฟัน ฯลฯ
ธาตุเคมี
ธาตุเคมี คือ อนุภาคมูลฐานของสสารหรือสารต่างๆที่ไม่อาจแบ่งแยกหรือเปลี่ยนแปลงให้เป็นสสารอื่นได้อนุภาคที่เล็กที่สุดของธาตุเรียกว่า อะตอม ซึ่งประกอบด้วยอิเล็กตรอนวิ่งวนรอบนิวเคลียสที่ประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอน
เลขอะตอมของธาตุ (ใช้สัญลักษณ์ Z) คือ จำนวนของโปรตอนในอะตอมของธาตุ ตัวอย่างเช่น เลขอะตอมของธาตุคาร์บอน นั้นคือ 6 ซึ่งหมายความว่า อะตอมของคาร์บอนนั้นมีโปรตอนอยู่ 6 ตัว ทุกๆอะตอมของธาตุเดียวกันจะมีเลขอะตอมเท่ากันเสมอ ซึ่งก็คือมีจำนวนโปรตอนเท่าๆกัน แต่อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันอาจมีจำนวนนิวตรอนไม่เท่ากัน ซึ่งเรียกว่า ไอโซโทปของธาตุ มวลของอะตอม (ใช้สัญลักษณ์ A) นั้นวัดเป็นหน่วยมวลอะตอม (unified atomic mass units; ใช้สัญลักษณ์ u) ซึ่งเท่ากับผลรวมของจำนวนโปรตอน และ นิวตรอนในนิวเคลียสของอะตอม ธาตุบางประเภทนั้นจะเป็นสารกัมมันตรังสี และมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธาตุชนิดอื่น เนื่องจากการสลายตัวทางกัมมันตภาพรังสี
ธาตุที่เบาที่สุดคือ ไฮโดรเจน และ ฮีเลียม ซึ่งเป็นสองธาตุแรกสุดที่เกิดขึ้นในกระบวนการบิ๊กแบง ธาตุอื่นๆนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือสร้างขึ้นด้วยมนุษย์ด้วยวิธีการต่าง ๆ ในการสังเคราะห์นิวเคลียส
จนถึงปี ค.ศ. 2004 มีธาตุที่ถูกค้นพบทั้งหมด 116 ธาตุ (ดู ตารางธาตุ) ในจำนวนนี้มี 91 ธาตุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ส่วน 25 ธาตุที่เหลือนั้นเป็นธาตุที่ถูกสร้างขึ้น โดยธาตุแรกที่ถูกสร้างขึ้นคือเทคนีเชียม ในปี ค.ศ. 1937 ธาตุที่ถูกสร้างขึ้นนี้ ทั้งหมดเป็นธาตุกัมมันตภาพรังสี ที่มีระยะครึ่งชีวิตที่สั้น ดังนั้นธาตุเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลกนั้น ก็ได้สลายตัวไปหมดแล้ว
อะตอมของธาตุเดียวกันที่มีจำนวนนิวตรอนไม่เท่ากันนั้นจะเรียกว่าเป็น ไอโซโทปของธาตุนั้น
ที่มา : http://th.wikipedia.org
เกี่ยวกับเคมี
เคมี (อังกฤษ: chemistry จาก กรีกโบราณ: χημεία) คือศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสสาร ความสามารถของสสาร การแปรรูปของสสาร และการปฏิสัมพันธ์กับพลังงานและสสารด้วยกันเอง เนื่องจากความหลากหลายของสสาร ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของอะตอม นักเคมีจึงมักศึกษาโครงสร้าง คุณสมบัติ และการจัดเรียงอะตอมเพื่อรวมตัวกันเป็นโมเลกุล เช่น แก๊ส โลหะ หรือผลึกคริสตัล เคมีปัจจุบันได้ระบุว่าโครงสร้างของสสารในระดับอะตอมนั้นถือเป็นตัวกำหนดธรรมชาติของสสารทุกชนิด
เคมีมักจะถูกเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ศูนย์กลางเนื่องจากวิชาเคมีนั้นเชื่อมต่อวิทยาศาสตร์อื่นๆ เข้าด้วยกันอย่างเช่นฟิสิกส์ ชีววิทยา หรือแม้แต่ธรณีศาสตร์ เคมีนำทางศาสตร์จำเพาะย่อยๆมากมายซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะเหลื่อมล้ำกับวิทยาศาสตร์อื่นๆ ในอัตราที่ถือว่ามากทีเดียว อย่างไรก็ตามศาสตร์จำเพาะย่อยนั้นถือว่ามีความสำคัญทางเคมีอย่างมากเฉกเช่นการผลิตและทดสอบวัตถุที่แข็งแรง การผลิตยาเพื่อรักษาโรคต่างๆ และรวมไปถึงกำหนดขั้นตอนการทำงานของร่างกายในระดับเซลล์
เคมีโดยพื้นฐานแล้วนั้นมักจะเกี่ยวกับสสาร ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารด้วยกันเอง หรือการปฏิสัมพันธ์ของสสารกับสิ่งที่ไม่ใช่สสารอย่างเช่นพลังงาน แต่ศูนย์กลางของเคมีโดยทั่วไปคือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารเคมีด้วยกันในปฏิกิริยาเคมีโดยสารเคมีนั้นแปรรูปเป็นสารเคมีอีกชนิดหนึ่ง นี่อาจจะรวมไปถึงการฉายรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าสู่สารเคมีหรือสารผสม (ในเคมีแสง) ในปฏิกิริยาเคมีที่ต้องการแรงกระตุ้นจากแสง อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาเคมีนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเคมีซึ่งศึกษาสสารในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ตัวอย่างเช่น นักสเปกโตรสโคปีนั้นจะศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างแสงกับสสารโดยที่ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น
ที่มา:วิกิพีเดีย
เคมีมักจะถูกเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ศูนย์กลางเนื่องจากวิชาเคมีนั้นเชื่อมต่อวิทยาศาสตร์อื่นๆ เข้าด้วยกันอย่างเช่นฟิสิกส์ ชีววิทยา หรือแม้แต่ธรณีศาสตร์ เคมีนำทางศาสตร์จำเพาะย่อยๆมากมายซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะเหลื่อมล้ำกับวิทยาศาสตร์อื่นๆ ในอัตราที่ถือว่ามากทีเดียว อย่างไรก็ตามศาสตร์จำเพาะย่อยนั้นถือว่ามีความสำคัญทางเคมีอย่างมากเฉกเช่นการผลิตและทดสอบวัตถุที่แข็งแรง การผลิตยาเพื่อรักษาโรคต่างๆ และรวมไปถึงกำหนดขั้นตอนการทำงานของร่างกายในระดับเซลล์
เคมีโดยพื้นฐานแล้วนั้นมักจะเกี่ยวกับสสาร ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารด้วยกันเอง หรือการปฏิสัมพันธ์ของสสารกับสิ่งที่ไม่ใช่สสารอย่างเช่นพลังงาน แต่ศูนย์กลางของเคมีโดยทั่วไปคือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารเคมีด้วยกันในปฏิกิริยาเคมีโดยสารเคมีนั้นแปรรูปเป็นสารเคมีอีกชนิดหนึ่ง นี่อาจจะรวมไปถึงการฉายรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าสู่สารเคมีหรือสารผสม (ในเคมีแสง) ในปฏิกิริยาเคมีที่ต้องการแรงกระตุ้นจากแสง อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาเคมีนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเคมีซึ่งศึกษาสสารในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ตัวอย่างเช่น นักสเปกโตรสโคปีนั้นจะศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างแสงกับสสารโดยที่ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น
ที่มา:วิกิพีเดีย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)